11. ไม่สบอารมณ์
“พระราชินีมามุนี กำลังเสด็จ.....”
เสียงของทหารยามที่อยู่หน้าพระตำหนักเดินมาบอกกับรานียา ทำให้รานียาต้องรีบทูลให้เจ้าหญิงแอชวารย่าทรงทราบ และพระองค์ก็รีบรอรับเสด็จพระมารดาด้านหน้าทันที ในขณะที่ฐานิกา เริ่มมีอาการเกร็งประหม่ามากขึ้นกว่าเดิมแต่ก็พยายามที่จะทำตัวให้ปกติที่สุด
“ไม่ต้องกลัวนะครับคุณฐานิกา..ท่านป้า เอ้อ..พระราชินีมามุนีใจดีไม่น่ากลัวหรอก”
อิสมาอิล ถือโอกาสกุมมือให้กำลังใจฐานิกา ซึ่งเป็นคนนอกเพียงคนเดียวที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเลี้ยงส่วนพระองค์นี้
“ท่านแม่...คิดถึงท่านแม่ที่สุดเลยค่ะ”
เจ้าหญิงแอชวารย่า รีบเข้าไปสวมกอดพระราชินีมามุนีผู้เป็นพระมารดาทันทีที่พระองค์เสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่งที่จอดเทียบหน้าตำหนักเงิน โดยมีเจ้าชายอาบิเชค เสด็จร่วมด้วย
“แหม..คิดถึงแต่ท่านแม่เหรอครับพี่หญิง” พระอนุชาทรงแซวขึ้นบ้าง
“ชายเชค..”
เจ้าหญิงผละจากพระมารดาทรงหันไปสวมกอดเจ้าชายเป็นการทักทาย
“แล้วโซฟียาล่ะ ไม่มาด้วยกันหรือ”
เจ้าหญิงทรงถามพระอนุชาถึงพระคู่หมั้น
“เดี๋ยวก็คงตามมามังครับ..พี่หญิงก็รู้ว่าเวลาที่โซฟียาจะออกงาน เธอมักจะมาเป็นคนสุดท้ายให้ตัวเองเด่นเสมอ”
เจ้าชายทรงค่อนขอด
“ชายเชค..เดี๋ยวเถอะ..”
พระราชินีทรงปรามด้วยสุรเสียงที่ไม่จริงจังนัก ก่อนจะเสด็จนำไปข้างใน โดยมีเจ้าชายและเจ้าหญิงเสด็จตามไปอย่างใกล้ชิด
“ถวายพระพรพระราชินีมามุนี...”
เสียงที่กล่าวรับเสด็จพระราชินีดังมาจากเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายที่มาถึงก่อนแล้ว
“ตามสบายเถอะจ๊ะ..ไม่ต้องพิธีการหรอกนะฉันอยากจะผ่อนคลายสักวัน”
พระราชินีตรัสแก่ทุกคนให้รับรู้ก่อนจะประทับที่เก้าอี้นวมด้วยอิริยาบถสบายเป็นกันเอง
“ไม่ได้มาตำหนักของหญิงตั้งนาน แม่เพิ่งรู้นะว่ามีคนใหม่เข้ามาอยู่ด้วย หน้าตาออกไทย ๆ เหมือนกับมะลิเลยนี่”
พระราชินีมามุนี ทอดพระเนตรเห็นฐานิกานั่งพูดคุยอยู่กับอิสมาอิลก็ทรงเอ่ยขึ้น
“ท่านแม่ดูได้เก่งทีเดียวค่ะ เธอเป็นคนไทยเหมือนกับมะลิค่ะ หญิงเชิญให้เธอมาท่องเที่ยวประเทศของเราเพื่อจะได้ประชาสัมพันธ์ให้คนไทยรู้จักสินาการ์เดียยังไงล่ะคะ เดี๋ยวหญิงจะให้รานียา พามาเฝ้าท่านแม่นะคะ”
เจ้าหญิงแอชวารย่ากราบทูลพระมารดา
เจ้าชายอาบิเชค จึงหันไปทอดพระเนตรบุคคลที่พระเชษฐภคินี กล่าวถึง เจ้าชาย รู้สึกถึงรัศมีความมีเสน่ห์ของเธอผู้นั้นแผ่รังสีมายังพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายหรือกิริยาท่าทางช่างดูเหมือนภาพวาดอันอ่อนช้อยในสายพระเนตรของเจ้าชายยิ่งนัก แล้วอิสมาอิล ไปรู้จักมักคุ้นกับหญิงสาวสวยผู้นั้นได้อย่างไรกันนะ แถมยังพูดคุยกะหนุงกะหนิงกันอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือว่าบัดนี้พระราชินี กับ เจ้าชายอย่างพระองค์ ได้เสด็จมาแล้ว
เจ้าชายอาบิเชค ชักจะอิจฉา อิสมาอิล พระญาติของพระองค์เองเสียแล้ว
อิสมาอิล พาฐานิกา มาเข้าเฝ้าพระราชินีมามุนีด้วยตัวเอง ตลอดเวลาเขาดูจะให้ความสนิทสนมกับฐานิกา จนเป็นที่ขวางพระเนตรของเจ้าชายอาบิเชค
“กระหม่อมจะเป็นคนพาคุณฐานิกาไปท่องเที่ยวที่เมืองซาร์มอง พ่ะย่ะค่ะ”
อิสมาอิล รีบกราบทูลให้พระราชินีทรงทราบเป็นการเปิดตัวฐานิกา ให้ทุกคนที่มาในงานนี้ได้รับรู้ไปในตัวด้วยนั่นเอง โดยเฉพาะคนที่อิสมาอิล อยากจะให้รับรู้เป็นพิเศษก็คือเจ้าชายอาบิเชค
เนื่องจากอิสมาอิล ทราบดีว่าเจ้าชายนั้นมีชื่อเสียงในด้านความเจ้าชู้ และมักจะโปรดปรานสาวงามอยู่แล้ว เขาจึงคิดว่าจะต้องกันท่าแสดงความเป็นเจ้าของฐานิกา เอาไว้ก่อน เพื่อปกป้องเธอให้รอดพ้นจากความสนพระทัยของเจ้าชาย
แต่อิสมาอิล หารู้ไม่ว่ายิ่งกีดกันเท่าไหร่ เจ้าชายอาบิเชคก็ยิ่งอยากได้ เพราะจะว่าไปแล้วอิสมาอิล ก็ไม่เคยมีวี่แววว่าจะพอใจหญิงคนใดในสินาการ์เดีย มาก่อน แต่พอเขาปิ๊งผู้หญิงขึ้นมาคนหนึ่ง ก็เป็นสาวต่างชาติที่มีความสวยไม่เป็นรองใคร เธอดูมีเสน่ห์แปลก ๆ จนเจ้าชายเองก็อดที่จะหวั่นไหวในพระทัยไม่ได้
อิสมาอิล ก็เหมือนกับจะสังเกตเห็นแววพระเนตรหยาดเยิ้มของเจ้าชายอาบิเชค ที่ทอดพระเนตรฐานิกา อยู่ เขาจึงไม่ยอมอยู่ห่างจากเธอ ต้องคอยตักอาหารคอยบริการคลอเคลียอยู่ข้างกายตลอด จนกระทั่งช่วงหนึ่งที่ฐานิกา ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
“ไงอิสมาอิล..ดูยิ้มไม่หุบเลยนะ”
เจ้าชายตรัสกับอิสมาอิล
“ก็คนกำลังมีความรักนี่ครับ”
อิสมาอิล อยากจะบอกตามตรงด้วยซ้ำว่าห้ามเจ้าชายยุ่งเกี่ยวกับฐานิกา
“นายคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะสนใจนายงั้นหรือ”
เจ้าชายตรัสถามคล้ายจะเยาะ
“เรามีอะไรที่ด้อยไปกว่าท่านงั้นหรือ ถึงเราไม่ได้เป็นเจ้าชาย ไม่ได้มีบิดาเป็นพระราชา แต่บิดาของเราก็เป็นถึงน้องชายของพระบิดาท่านมิใช่หรือ แถมบิดาเรายังเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้อีกด้วย”
อิสมาอิล พูดอย่างไม่สนใจว่าเจ้าชายอาบิคเชค มีศักดิ์เหนือกว่า
“จะพูดจาอะไรให้มันรู้ที่ต่ำที่สูงบ้างนะอิสมาอิล อย่าลืมว่าฉันเป็นเจ้าชาย ส่วนนายถึงจะมีพ่อเป็นน้องของพ่อฉัน แต่ก็ไม่ได้มีฐานะเทียบเท่าฉันที่เป็นถึงรัชทายาทที่จะสืบทอดราชบัลล์ต่อจากท่านพ่อ”
เจ้าชายตรัสข่ม ด้วยสุรเสียงเข้มห้าว
“แต่ถ้าไม่มีบิดาของเรา พระบิดาของท่านก็ไม่ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์อย่างทุกวันนี้หรอกน่า”
“นาย!..”
เจ้าชายอาบิเชค ตรัสเสียงเข้มด้วยสีพระพักตร์ที่แดงก่ำด้วยความไม่พอพระทัย
“ยู้ฮู...คุยอะไรกันอยู่จ๊ะหนุ่ม ๆ”
เสียงของโซฟียา ดังขัดขึ้นมาเสียก่อนที่สองหนุ่มจะได้ปะทะคารมกัน ทั้งสองหันไปมองร่างเพรียวสมส่วนของ
โฟซียา ที่อยู่ในชุดราตรียาวเปลือยไหล่สีม่วงอมชมพูที่กำลังเดินยิ้มร่าเข้ามา
“โซฟียา..มาพอดีเลย ชายเชคกำลังบ่นคิดถึงแน่ะ”
อิสมาอิล พูดขึ้นมาหน้าตาเฉยไม่สนใจมองเจ้าชายอาบิเชค ที่ตอนนี้สีพระพักตร์แดงก่ำทรงขบกรามแน่น
“จริงเหรอคะ..”
โซฟียา ยิ้มอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ คู่หมั้น ที่เธอดีใจก็เพราะรู้ว่าเจ้าชายอาบิเชค ไม่ได้ไปขลุกอยู่ที่ตำหนักสีแดงนั่นเอง ถึงแม้โซฟียาจะไม่ได้รักใคร่เจ้าชาย
อาบิเชค แต่เธอก็ไม่ต้องการเห็นพระองค์สนพระทัยผู้หญิงคนอื่น
“ขอตัวก่อนนะโซฟียา เชิญคุยกันตามสบาย ผมขอไปหาคุณฐานิกา ก่อน”
อิสมาอิล รีบลุกขึ้นเมื่อเห็นฐานิกากำลังเดินมา เขาจึงรีบสาวเท้าเดินไปหาและพาเธอไปนั่งมุมอื่นทันที
“เอ๊ะ..ผู้หญิงคนนั้นใครคะ..แล้วทำไมอิสมาอิลถึงได้ดูหวงนักหนา”
เสียงของโซฟียา ถามเจ้าชายโดยไม่รู้เลยว่าได้สร้างความขุ่นเคืองพระทัยให้เจ้าชายมากเพียงใด เจ้าชายไม่ตรัสตอบ แต่ส่งสายพระเนตรไปยังคนทั้งคู่อย่างเงียบ ๆ โซฟียาขมวดคิ้ว ถ้าเธอมองไม่ผิดเจ้าชายเหมือนจะไม่พอพระทัยที่อิสมาอิล กำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเป็นผู้หญิงที่โซฟียา ยอมรับว่าสวยเด่นมาก จนทำให้โซฟียา รู้สึกถูกบดบังรัศมีความเด่นลงไปกว่าครึ่ง
“เธอเป็นใครคะ”
โซฟียา มองไปที่ฐานิกา เอ่ยถามเจ้าชายอาบิเชค
“อยากรู้ก็ไปถามอิสมาอิลดูสิ”
เจ้าชายตรัสด้วยความขุ่นเคือง
“ฉันถามดี ๆ นะคะ ทำไมจะต้องพูดจากระโชกโฮกฮากแบบนี้ด้วยเล่า”
โซฟียา กระฟัดกระเฟียดลุกขึ้นเดินไปหาเจ้าหญิงแอชวารย่า ที่กำลังสนทนาอยู่กับหมู่พระญาติแทน เพราะไม่อยากจะทะเลาะกับเจ้าชายให้เสียอารมณ์
