ภาพมนตรา

243.0K · จบแล้ว
กิ่งพยอม
70
บท
171
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ชายหนุ่มรูปงามต่างมิติที่มาอยู่ในความฝันอันต่อเนื่องของเนตรอัปสร ดาราสาวเซ็กซี่ผู้อื้อฉาว จนชีวิตต้องผกผันถูกแบนออกจากวงการบันเทิงไป แต่ชายต่างมิติได้นำพาให้เธอกลับเข้ามาในวงการอีกครั้งหนึ่งในภาพลักษณ์ใหม่ ท่ามกลางเรื่องราวแปลกประหลาดคาดไม่ถึงมากมายที่ทำให้คนรอบข้างทั้งตื่นตระหนก หวาดผวา ทั้งน่าขนลุก มหัศจรรย์ ชายหนุ่มปริศนาในภาพวาดนั้นเป็นใครกันแน่ และเขาจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอได้อย่างไร ติดตามเรื่องราวที่ลึกลับน่าค้นหาได้ ณ บัดนี้

นิยายรักโรแมนติกนิยายสยองขวัญนิยายรักดาราข้ามมิติแฟนตาซี ต่างโลกผู้ชายอบอุ่น

1. ฝันหวาน

ยานพาหนะรูปทรงทันสมัยคล้ายยานอวกาศ สีทองอร่ามส่องแสงประกายระยิบระยับจากท้องฟ้า พุ่งทะยานเข้าสู่ภายในคฤหาสน์สวยหรูหลังหนึ่งในเขตชานเมือง ลำแสงสว่างวาบทะลุผ่านกำแพงคอนกรีตอย่างไร้ร่องรอยของความเสียหายใด ๆ เข้าไปลอยเคว้งคว้างกลางอากาศและปราศจากเสียง อยู่ภายในห้องนอนของหญิงสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง

“ที่รัก....”

เสียงเรียกทุ้มหวานดังแว่วเข้าหูของหญิงสาวผู้ที่นอนเหยียดยาวอย่างสบายอยู่ภายใต้ผ้าห่มนุ่มสีขาว แผงขนตางอนยาวขยุบขยิบก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาตามเสียงเรียก ดวงตาคู่สวยหรี่ตาเพื่อปรับสภาพกับแสงสว่างภายในห้องนอน ก่อนจะเพ่งมองไปยังพาหนะรูปทรงสวยงามแปลกตาที่ส่องแสงประกายวูบวาบล่องลอยไปมาอยู่ปลายเตียง

แสงสีทองทำให้ห้องนอนของหญิงสาวดูสว่างไสวคล้ายประดับประดาด้วยดวงไฟหลากหลายดวง

หญิงสาวลุกขึ้นเอนหลังครึ่งนอนครึ่งนั่ง มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับร่างของชายหนุ่มรูปงามราวเทพบุตรจากฟากฟ้า นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนพาหนะสีทองอร่ามตาที่สามารถมองผ่านทะลุเข้าไปถึงข้างในราวกับมองผ่านกระจกใส เครื่องแต่งกายของชายหนุ่มที่หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเป็นเทพบุตรหรือมนุษย์ต่างดาวส่องแสงเปล่งประกายคล้ายเพชรนิลจินดาอันล้ำค่าที่ไม่เคยเห็นที่ใดจะประณีตงดงามเท่านี้มาก่อน เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึงคล้ายต้องมนต์สะกด

เทพบุตรสุดหล่อเหลา กำลังก้าวลงมาจากพาหนะรูปทรงทันสมัยล้ำยุค พลันเครื่องแต่งกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นชุดสูทสากลทันสมัยในยุคปัจจุบันทันที พร้อมกับพาหนะคล้ายยานอวกาศนั้นก็หายวับไปราวปาฏิหาริย์ ร่างสูงสง่า สาวเท้ามายืนตรงหน้าพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้

“ที่รัก...ผมมาเยี่ยมคุณ”

คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกได้ว่าตัวของเธอนั้น คือคนที่เขาเรียกว่าที่รัก จึงยิ้มตอบไปด้วยหัวใจเบิกบานเต็มเปี่ยมด้วยความสุขคล้ายกำลังรอคอยการมาของเขาอยู่แล้ว

“สองคืนก่อนคุณนั่งราชรถที่มีม้าสีทองล่องลอยมานี่คะ”

เธอถามเขาด้วยความสงสัย และนึกถึงพาหนะที่เขาเดินทางมาหาเมื่อคืนก่อนเป็นแบบม้าเทียมราชรถสีทองสวยงามไม่แพ้พาหนะรูปทรงแปลกประหลาดครั้งนี้ที่คล้ายกับยานอวกาศขององค์การนาซ่า

“ผมอยากเปลี่ยนบรรยากาศ แล้วก็อยากให้คุณได้เห็นพาหนะในรูปทรงแบบต่าง ๆ บ้าง คุณจะได้อยากไปอยู่ดินแดนแห่งความสุขกับผมยังไงล่ะ ที่รัก”

“ดินแดนแห่งความสุขหรือคะ”

เธอมีประกายตาฝันหวานพยายามนึกภาพตาม

“ใช่..เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสุข ปรารถนาสิ่งใดก็เพียงนึกคิดเอา สิ่งที่ปรารถนาก็จะมาปรากฏตรงหน้าทันที”

“โอ..ช่างวิเศษจัง แล้วที่นั่นไม่เหมือนที่นี่หรือคะ”

“ไม่เหมือน ที่นั่นเป็นโลกทิพย์ต่างมิติ อยู่ในที่ที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้” เขาชี้ขึ้นไปเบื้องบน

“บนท้องฟ้าหรือคะ”

“อยู่ในอีกมิติหนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจะมองเห็นได้นอกจากบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ”

“ฉันอยากจะไปตอนนี้จังเลย พาฉันไปดูก่อนได้ไหมคะ”

“คุณยังไปตอนนี้ไม่ได้”

“ทำไมคะ”

“คุณจะต้องเตรียมความพร้อมอีกมาก”

เขาบอกเธอด้วยประกายตามีกังวล

“ต้องเตรียมความพร้อมอย่างไงคะ” เธอสงสัย

“แล้วผมจะบอก”

“บอกตอนนี้ไม่ได้หรือคะ”

“ไม่ได้..จนกว่าคุณจะพร้อม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

หญิงสาวมองค้อนเขาด้วยกิริยาเง้างอน ทำให้เขาต้องเดินเข้าไปหาพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงข้างกาย แล้วก็โอบประคองเธอเข้ามาไว้ในอ้อมอกเป็นการงอนง้อเอาใจ

“อย่างอนสิจ๊ะที่รัก..ผมสัญญาว่าจะพาคุณไปแน่นอน”

เขากระซิบเสียงอ่อนโยน

“จริง ๆ นะคะ” เธอพูดอยู่กับอกอันแสนจะอบอุ่นของเขา

“จริงสิครับ” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้ม

“แล้วฉันจะรอค่ะ ไม่ว่านานแค่ไหน”

“ผมก็จะรอคุณเช่นกัน...ไม่ว่า....จะนานแค่ไหน”

เขากระซิบบอกพร้อมกับค่อย ๆ โน้มใบหน้าไปแนบชิดกับแก้มของหญิงสาวอันเป็นที่รักด้วยความรักใคร่เสน่หา หญิงสาวรู้สึกวาบหวามเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเขาสัมผัสกับแก้มแผ่วเบาอย่าง ทนุถนอม เธอหลับตาพริ้มรับการจุมพิศของเขาอย่างเต็มใจ

“คุณนีน่าคะ!”

เสียงเรียกพร้อมเสียงเคาะประตูห้อง ทำให้ผู้ที่นอนหลับตาพริ้มด้วยความเคลิบเคลิ้มอยู่นั้นถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะถอนหายใจด้วยความเสียดายกับความสุขแสนหวานที่สัมผัสได้จากเทพบุตรสุดหล่อในฝันที่หายวับไปพร้อมกับเสียงเคาะห้องร้องเรียกอยู่หน้าห้อง

ประตูห้องนอนถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าของหญิงสาวที่โผล่เข้ามาท่าทางหวาดหวั่น และไม่กล้าเดินเข้ามาข้างใน ได้แต่ยืนชะเง้ออยู่ตรงประตูห้อง แต่กระนั้นเจ้าหล่อนก็แทบจะหลบไม่ทัน เมื่อฝ่ายที่ถูกปลุกให้ตื่น ทุ่มหมอนขว้างไปใส่ด้วยความไม่พอใจ

“นี่แน่ะนังบ้า!..คนกำลังหลับฝันดี ดันเข้ามาปลุกอยู่ได้”

“ว้าย!..อย่าทำวิไลเลยค่ะคุณนีน่า”

วิไลสาวใช้ของบ้านร้องห้ามพร้อมใช้มือรับหมอนที่ปลิวว่อนมาเข้าหน้าได้ทันท่วงที ก่อนจะถือหมอนที่รับได้อย่างหวุดหวิดนั้น ค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้อง นำไปวางไว้ที่เตียงของนายสาวเจ้าอารมณ์ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ

“นี่! นี่! จำไว้เลยนะ คราวหลังเวลาฉันหลับห้ามเข้ามาปลุก”

นายสาวยื่นมือไปหยิกแขนของวิไล จนฝ่ายที่ถูกหยิกร้องเสียงหลงรีบถอยหลังไปยืนให้ห่างจากพายุอารมณ์ของเจ้าของห้อง

“ก็คุณผู้หญิงน่ะสิคะ ใช้ให้วิไลขึ้นมาปลุกคุณนีน่า”

วิไล รีบบอกพร้อมกับใช้มืออีกข้างลูบแขนที่ถูกหยิก ในขณะที่นายสาวเจ้าอารมณ์ลุกจากเตียงลงมายืนจังก้าหน้ามุ่ย

“ทำไมไม่บอกคุณแม่ไป ว่าฉันกำลังนอนหลับอยู่ฮึ นังโง่!”

“บอกแล้วค่ะ แต่...”

“ออกไปเลยไป! น่ารำคาญ!”

เนตรอัปสร ตวาดจนสาวใช้รีบวิ่งแจ้นออกไปอย่างรู้อารมณ์เป็นอย่างดี

“มันน่าโมโหจริง ๆ กำลังมีความสุขอยู่แท้ ๆ เชียว”

เธอบ่นตามหลังสาวใช้ด้วยความหงุดหงิด นึกเสียดายไม่หายกับภาพสุดท้ายในฝัน พร้อมกับนึกทบทวนความฝันด้วยความแปลกใจ มันช่างน่าอัศจรรย์เสียจริงที่เธอฝันเห็นชายหนุ่มรูปงามคนนั้นมาหาติด ๆ กันถึงสามคืนแล้ว และเธอก็ยินดีที่จะให้เขามาหาเสียด้วย ราวกับว่าคุ้นเคยกับผู้ชายคนนั้นมานานแสนนาน และคืนนี้เขาก็ทำให้เธอมีความสุขประทับใจเหลือเกิน

เนตรอัปสร เผลอยกมือขึ้นลูบแก้มเบา ๆ ด้วยความรู้สึกวาบหวามใจเมื่อนึกถึงรอยจุมพิศแสนหวานของเขา

“นี่ถ้าวิไลไม่มาขัดจังหวะ ป่านนี้เรากับเขาก็คงจะ...”

เนตรอัปสร หยุดจินตนาการ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะหน้ากระจกทำให้เธอนึกขึ้นได้ทันทีว่าสาเหตุที่ทำให้ฝันติดต่อกันเช่นนั้น คงเป็นเพราะเธอเข้าถึงบทบาทการแสดงละครที่จะต้องเข้าฉากเลิฟซีนกับพระเอกของเรื่องหลายฉากนั่นเอง

พอนึกได้เช่นนั้น เธอก็เดินไปหยิบบทละครที่หน้ากระจกขึ้นมาดู ก่อนจะส่ายหัวยิ้ม ๆ แล้วก็วางมันลงไปตามเดิม

“วิไล ฉันให้ไปตามคุณนีน่าตั้งนานแล้ว ทำไมป่านนี้นีน่าถึงยังไม่ลงมาสักที”

มยุรี ถามสาวใช้ด้วยสีหน้ามีกังวลพร้อมกับอ่านข้อความในมือถือไปด้วย

“คุณนีน่าคงจะอาบน้ำแต่งตัวอยู่ก็ได้นะคะ..คุณผู้หญิงก็รู้นี่คะว่าคุณนีน่า อาบน้ำแต่งตัวนานแค่ไหน” วิไลบอกเสียงอ่อย ๆ

“แต่ฉันสั่งให้บอกคุณนีน่าว่าให้รีบลงมาพบฉันตอนนี้ ยังไม่ต้องอาบน้ำ”

“วิไล ยังไม่ทันได้บอกหรอกค่ะ ถูกคุณนีน่าไล่ออกจากห้องเสียก่อน ถ้าวิไลไม่รีบออกมาคงโดนหยิกมากกว่านี้ค่ะ”

คำตอบของสาวใช้ ทำให้มยุรีต้องเงียบลงเพราะรู้จักนิสัยของเนตรอัปสร ลูกสาวคนโตดีว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ และขี้หงุดหงิดเพียงใด แต่มยุรีก็ร้อนใจกับข่าวฉาวของลูกสาว จึงอยากจะถามให้รู้ความจริงจากปากมากกว่าที่จะอ่านจากสื่อโซเชียล ออนไลน์ หรือดูจากข่าวบันเทิงในโทรทัศน์

“แล้วคุณซาซ่าล่ะ ตื่นหรือยัง”

มยุรี เปลี่ยนไปถามถึงเนตรดาว ลูกสาวคนเล็กแทน ซึ่งเป็นลูกสาวที่มีนิสัยแตกต่างจากพี่สาวโดยสิ้นเชิง เนตรอัปสร ใจร้อนวู่วาม ขี้หงุดหงิด โมโหง่าย แต่เนตรดาว เป็นคนใจเย็นมองโลกในแง่ดี

“คุณซาซ่า ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดแล้วค่ะ วิไลช่วยขนของใส่รถช่วยคุณซาซ่าด้วยค่ะ”

“อ๋อ..วันนี้เขาจะจัดแสดงภาพน่ะสิ..ฉันก็ลืมไป”

มยุรี พูดเหมือนเพิ่งจะนึกออก

“อุ๊ย!..คุณนีน่า ลงมาแล้วค่ะ”

วิไล รีบบอกเจ้านาย เมื่อหันไปเห็นเนตรอัปสรกำลังเดินมา

มยุรี หันไปมองลูกสาวที่เดินหน้าบอกบุญไม่รับเข้ามาด้วยชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นอันเป็นชุดโปรดที่เนตรอัปสร มักจะสวมใส่เวลาที่อยู่บ้าน

“วิไล อาหารเช้ามีอะไรมั่ง” เนตรอัปสรหันไปถามสาวใช้

“ข้าวต้มรวมมิตรทะเลค่ะ”

“ยี้..ข้าวต้มอีกแล้ว ทำอย่างอื่นไม่เป็นรึไง”

เธอทำเสียงขึ้นจมูกหน้าเบ้แบบไม่สบอารมณ์

“แม่สั่งให้ในครัวเขาทำเอง นีน่า อยากจะทานอะไรก็สั่งวิไลให้ไปบอกป้าประไพทำให้สิลูก”

มยุรี บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหวังจะเห็นลูกสาวอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“ไปเอาสลัดผักน้ำใสกับน้ำส้มคั้นมาให้ฉันแล้วกัน”

เนตรอัปสร หันไปสั่งวิไลก่อนจะทรุดนั่งที่เก้าอี้ข้างมารดา

“คุณแม่มีอะไรสำคัญนักหนาคะถึงให้วิไลไปปลุกแต่เช้า นี่น่ายังนอนไม่เต็มอิ่มเลยนะคะ”

เธอต่อว่ามารดาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หน้าตางอง้ำไม่หาย แต่ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาปราศจากเครื่องสำอางนั้นก็ยังดูสวยสะดุดตาอยู่ดี

“แม่รู้...ว่านีน่านอนดึกต้องการนอนพักผ่อน แต่ถ้าไม่มีเรื่องร้อนใจ แม่ก็ไม่รบกวนลูกหรอกจ๊ะ”

มยุรี มีน้ำเสียงคล้ายจะเกรงใจลูกสาวไม่น้อย อีกฝ่ายมองค้อนมารดาก่อนจะถามไปว่า

“เรื่องอะไรคะ”

“เปิดดูข่าวในโซเชียล ดูเอาเถอะ” มารดาบอก

“มือถือนีน่าอยู่บนห้องค่ะ”

“งั้นเอาของแม่ไปอ่านซะ นี่เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์อยู่ในตอนนี้เลยล่ะ”

มยุรี ยื่นมือถือของตนเองส่งให้กับลูกสาวดู ซึ่งเปิดหน้าที่เป็นข่าวเอาไว้ก่อนแล้ว

“นีน่า นางเอกฉาวเจ้าเดิมโต้ คุณหญิงรวยรื่น นักอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย บอกไม่ใช่แม่”

เนตรอัปสร อ่านพาดหัวข่าวแววตาไม่พอใจ ก่อนจะคลิกเข้าไปเปิดอ่านรายละเอียดด้านในที่มีข้อความว่า

“คุณหญิงรวยรื่นให้สัมภาษณ์ กรณีที่นีน่า นางเอกละครชื่อดัง ก้าวร้าวผู้ใหญ่ โต้คุณหญิงรวยรื่นว่าไม่ใช่แม่ของตน จึงไม่จำเป็นต้องเชื่อฟัง การที่ตนถ่ายคลิปหวิวถอดผ้าโพสต์ลงในไอจี ก็เป็นเพียงงานเท่านั้น ชีวิตจริงไม่ได้เดินถอดผ้าไปเดินตามถนน และที่คุณหญิงวิจารณ์ตนว่าเป็นเด็กใจแตกสร้างแบบอย่างที่ผิด ๆ ให้กับเยาวชนนั้น ตนก็ไม่คิดที่จะเป็นแบบอย่างให้ใคร เรื่องนี้คุณหญิงรวยรื่นได้บอกว่านางเอกนีน่า เป็นเด็กที่ก้าวร้าว เหมือนคนที่ขาดการอบรม คุณหญิงจึงไม่ถือสา แต่การที่นีน่าบอกว่าไม่คิดจะเป็นแบบอย่างให้ใครนั้น เป็นการพูดอย่างไร้จิตสำนึก ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม อยากจะวอนให้ผู้จัดละคร ช่วยบอยคอตนักแสดงนิสัยเลวคนนี้”

เนตรอัปสร อ่านจบก็วางมือถือลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ

“พวกนักข่าวตอแหลกับยัยคุณหญิงงี่เง่า! ทุเรศที่สุด!”

เนตรอัปสร มีประกายตากราดเกรี้ยวเมื่อนึกไปถึงเมื่อวานที่เธอถูกนักข่าวบันเทิงรุมสัมภาษณ์เรื่องที่เธอโพสต์บนสื่อออนไลน์

“นี่คือผลของการที่ไม่คิดก่อนพูด แล้วยังจะลงคลิปอะไรนั่นอีก ตอนนี้ลูกโดนวิพากษ์วิจารณ์เสียหายแค่ไหนรู้รึเปล่า นี่ยังมีพวกคอมเม้นท์อีกเยอะแยะไปหมด เอ้า..อ่านซะจะได้รู้ว่ามีคนพูดถึงลูกยังไงบ้าง”

มารดา เลื่อนไปข้อความที่ต้องการให้ลูกสาวได้อ่าน ส่งมือถือมายื่นให้อีกครั้ง แต่เนตรอัปสร รับมือถือมาจากมารดาแล้ว ก็วางลงบนโต๊ะทันทีโดยไม่สนใจจะอ่าน

“ทำไมไม่อ่านล่ะ” มารดาถามเสียงเรียบ

“แม่ก็รู้อยู่แล้วว่าโลกโซเชียล สังคมออนไลน์มันเป็นยังไง พอมีข่าวดารานิด ๆ หน่อย ๆ ก็รุมวิพากวิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ อยู่แล้ว ยิ่งพวกเกรียนคีย์บอร์ดยิ่งทุเรศ นีน่าไม่อ่านให้เสียความรู้สึกหรอกค่ะ คนพวกนั้นจะไปรู้ความจริงอะไร้ นอกจากเชื่อพวกนั่งเทียนเขียนข่าวบิดเบือนให้ร้าย”

“แล้วความจริงมันเป็นยังไง”

มยุรี มองหน้าลูกสาวด้วยแววตาเห็นใจ