บทที่ 2
จนเมื่อกระทั่งหกปีก่อนชายหนุ่มตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษตามคำสั่งของผู้เป็นแม่ที่อยากจบปัญหาทุก ๆ อย่างระหว่างเขากับมัทนา และนับตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้เธอก็ไม่เคยได้ข่าวอะไรจากเขาอีกเลย
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เขาบินกลับมาที่นี่เพื่อร่วมงานศพของปู่ และเพื่อมาร่วมฟังพินัยกรรมที่เจ้าสัวไกรวิทย์เขียนทิ้งเอาไว้ก่อนตายด้วยตัวเอง หญิงสาวยังคงจดจำสายตาเย็นชาของเขาเมื่อสามวันก่อนได้เป็นอย่างดี
สายตาที่ภายในนั้นยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังที่ไม่เคยลบเลือนหายไปตามเวลา ทั้ง ๆ ที่สำหรับเธอแล้วเขาเป็นดั่งรักแรกพบ เป็นคน ๆ เดียวที่เธอเฝ้าแต่คิดถึงและรอคอยการกลับมาของเขาตลอดหลายปี
“ฉันถามไม่ได้ยินรึไง ว่าเธอใช้มารยาแบบไหนถึงได้มีชื่อเธอไปโผล่อยู่ในพินัยกรรมของคุณปู่ฉันได้ ตอบมาสิ!” เสียงที่ตะคอกใส่บวกกับแรงบีบที่ต้นแขนทำให้มัทนาได้สติ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้ทันตอบอะไรกลับออกไปนั้นเสียงหนักแน่น ของประมุขอีกคนของบ้านกลับดังขึ้นขัดจังหวะ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะตาวิน! ปล่อยยัยมัท มีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกัน อย่าใช้อารมณ์” คุณหญิงลัดดาวัลย์ว่าให้ลูกชายตัวดีพร้อมทั้งเดินตรงเข้ามาสมทบกับคนทั้งสอง สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ ลอบมองลูกชายสลับกับสาวใช้ส่วนตัวของพ่อสามีไปมาอย่างคนคิดไม่ตก
“ยังต้องคุยอะไรกันอีกครับ บอกฉันมาสิว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ถึงได้ทำแบบนั้น บอกมา!” คนที่อารมณ์กำลังอยู่เหนือทุกสิ่งจนไม่คิดจะฟังคำใครตวาดสวน พร้อมทั้งเขย่าร่างบางในกำมืออย่างรุนแรง ในขณะที่อีกฝ่ายทำได้เพียงส่ายหน้าบอกปัดไปมาเท่านั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะตั้งรับการกระทำคาดคั้นของคนใจร้ายตรงหน้าคนนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาได้ตัดสินไปแล้วว่าเธอคือคนผิด โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้เธอได้แก้ต่างหรืออธิบายอะไรออกไปเลยแม้แต่คำเดียว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่เขาจะตีหน้ากันอย่างที่พูดออกมาทั้งหมด
“มัทไม่ทราบจริง ๆ ค่ะคุณวิน มัทไม่รู้เรื่องพินัยกรรมของคุณท่านจริง ๆ นะคะคุณผู้หญิง” ต่อให้กวินภพคาดคั้นแค่ไหนหญิงสาวก็ยังจะขอยืนยันคำเดิมว่าเธอไม่เคยรู้เรื่องพินัยกรรมของเจ้าสัวไกรวิทย์มาก่อน ไม่รู้เลยสักนิดว่าผู้มีพระคุณของตัวเองจะเขียนพินัยกรรมแบบนั้นขึ้นมา เพราะว่าท่านไม่เคยบอกหรือพูดอะไรเกี่ยวกับมันให้เธอได้รับรู้เลยแม้แต่คำเดียว
“เธอจะไม่รู้ได้ยังไง ในเมื่อเธอเป็นคนเดียวที่อยู่กับปู่ของฉันจนวันสุดท้ายของท่านนี่คงจะไปเป่าหูท่านก่อนตายสิใช่ไหม ท่านถึงได้สั่งให้ฉันแต่งงานด้วยแบบนี้ หน้าด้าน! ไร้ยางอาย!” คำด่าทอที่รุนแรงไม่ต่างอะไรกับการถูกน้ำกรดร้อน ๆ สาดใส่หน้ากันนั้นทำให้คนฟังปวดหนึบที่อกข้างซ้ายขึ้นมาอย่างหักห้ามไม่อยู่
มัทนาจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเจ็บปวดกับคำสบประมาทที่เขามอบให้กัน ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็ตกใจกับเรื่องตรงหน้าจนแทบจะตั้งรับไม่ทันแท้ ๆ แต่เขาก็ยังไม่วายด่าทอกันไม่หยุดหย่อน ราวกับจะไม่มีทางมองเธอในด้านดีได้เลย หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าอะไรมันทำให้เขาเกลียดเธอได้มากถึงเพียงนี้
“จะให้มัทตอบอีกสักกี่ครั้งมัทก็ไม่รู้เรื่องจริง ๆ ค่ะ มัทมีหน้าที่แค่คอยดูแลรับใช้คุณท่านตามที่ท่านสั่งเท่านั้น ส่วนเรื่องพินัยกรรมของท่าน ต่อให้คุณวินไม่เชื่อมัทก็ขอยืนยันคำเดิมว่าไม่รู้เรื่องจริง ๆ” หญิงสาวยังคงยืนกรานหนักแน่นไปตามความจริง และดูเหมือนว่าต่อให้เธอจะอธิบายไปจนตายคนตรงหน้าก็ไม่ยอมปักใจเชื่อกันอยู่ดี
กวินภพไม่คิดที่จะมองเธอในแง่ดีเลยสักครั้ง เพราะเวลาเจอหน้ากันแต่ละทีเขาก็เอาแต่กล่าวหาว่าเธอทำดีเพื่อหวังเพียงแค่จะตบตาทุก ๆ คน เพื่อหวังทรัพย์สมบัติของตระกูลของตัวเอง
ซึ่งความจริงแล้วไม่มีเลยสักครั้งที่ความคิดเหล่านั้นจะฉายเข้ามาในหัวของมัทนา หญิงสาวรู้สถานะและที่ไปที่มาของตนเองดี และยังรู้สึกซาบซึ้งต่อบุญคุณของทุก ๆ คนในบ้านหลังนี้ที่ต้อนรับและมอบน้ำใจให้เธอเสมอมา
“ฉันไม่เชื่อ!”
“แต่แม่เชื่อ แม่อยู่กับมัทนามานานกว่าเรานะตาวิน และแม่ก็เชื่อว่ามัทนาไม่ได้โกหก ลูกเองก็รู้ว่าคุณปู่เคยเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วถ้าไม่ได้พ่อกับแม่ของมัทนาช่วยท่านเอาไว้ บางทีที่ท่านทำแบบนี้ก็คงเพราะอยากให้มัทนามีหลักประกันในชีวิตก็ได้นะลูก ลูกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าคุณปู่เรายึดถือเรื่องบุญคุณต้องทดแทนแค่ไหน” คุณหญิงลัดดาวัลย์เอ่ยขึ้นยาวเหยียดไปตามที่รู้สึก แม้ว่าจะยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อได้คือสายตาใสซื่อของหญิงสาวตรงหน้าที่มันไม่ได้ฉายแววความโกหกให้ได้เห็นเลยแม้แต่วินาทีเดียว
