ตอนที่5 กลับบ้าน
“สวีกงจื่อ น้อมรับพระบัญชา”
ใบหน้าที่เดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง ทำให้หัวหน้าขันทีขมวดคิ้วเป็นปม ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องภายในสกุลสวี ด้วยเป็นสกุลแม่ทัพ ย่อมต้องอยู่สายตาของฮ่องเต้ และครั้งนี้สวีกงจื่อก้าวพลาดเอง
ที่คิดว่าชูจ้านเจ๋อ ไร้อำนาจบารมี จนไม่สามารถปกป้องน้องสาวได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ชูจ้านเจ๋อ นับเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพแห่งแผ่นดิน ที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้หน้ากากพยัคฆ์
แค่น้องสาวของแม่ทัพหนุ่ม ยื่นคำร้องเกี่ยวกับการหย่าขาด พร้อมเหตุผล มีหรือฝ่าบาทจะนิ่งดูดาย เพราะหากต้องเลือก ชูจ้านเจ๋อย่อมสำคัญกว่าสวีกงจื่อ ผู้มีดีแค่บิดาสร้างไว้ให้ แม้จะมีผลงานอยู่บ้าง ทว่ายังห่างไกลกับแม่ทัพชูจ้านเจ๋อมากทีเดียว
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ชูเหมยฮวา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางไม่ชื่นชอบการรอคอย สิ่งใดควรจบ มันก็สมควรสิ้นสุดโดยไว เพราะหากยืดเยื้อไป รังแต่จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
“คุณหนูชู ข้าจะรอไปส่งท่านมี่จวนชู ตามพระบัญชา”
“เช่นนั้น ท่านขันทีโปรดรอข้าสักครูเจ้าค่ะ สิ่งของที่ต้องนำกลับ ข้าได้เตรียมไว้แล้ว เหลือเพียงสินเดิมบางส่วน ที่สกุลสวีหยิบยืมไปเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ทัพสวี โปรดเร่งจัดการ ข้าจะได้รีบกลับวัง เพื่อรายงานต่อฝ่าบาท”
“ได้!”
แม่ทัพหนุ่มตอบเสียงสะบัด ก่อนจะรับสกุลรายการ จากสาวใช้ของภรรยา ทุกอย่างนางเหมือนรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ว่ามันจะสำเร็จ หาไม่แล้ว นางคงมิเตรียมของไว้ อย่างพร้อมสรรพเยี่ยงนี้
“นี่มันอะไรกัน!”
สวีฮูหยินรีบเดินเข้ามา ด้วยความร้อนใจ เมื่อรู้ว่าบุตรชายได้รับราชโองการ
“ข้ากับชูเหมยฮวา สิ้นสุดการเป็นสามีภรรยา ต่อกันแล้วขอรับท่านแม่”
“ไยเป็นเช่นนี้ เจ้าทำสิ่งใด ชูเหมยฮวา เหตุใดฝ่าบาทต้องช่วยเหลือเจ้าด้วย”
สวีฮูหยิน ตรงเข้าเขย่าร่างอดีตลูกสะใภ้ ด้วยความร้อนใจ หากชูเหมยฮวาจากไป ความสุขสบายทั้งหมด ที่มีมาตลอดสิบห้าปี ก็มลายหายไป พร้อมกับชูเหมยฮวาน่ะสิ!
“ถึงข้ากำพร้าพ่อแม่ แต่ใช่ว่าสกุลชู ไร้เงาของทายาทนะเจ้าคะ”
เอ่ยจบร่างงาม ได้เดินจากไปอย่างไม่คิดใยดี คนบางคนพูดด้วยมากไป รังแต่เปลืองน้ำลาย เพราะอะไรนางไม่อยากรู้ ว่าทำไมเจ้าของร่างอดทน แต่ต่อจากนี้ นางจะไม่ทนแม้แต่เสี้ยววินาที
มือหยาบกำหมัดแน่น เมื่อมองเห็นความไม่แยแส จากสายตาของอดีตภรรยา ที่ผ่านมานางไม่เคยมองข้ามเขาสักครั้ง แต่วันนี้ นางเดินหันหลังให้แก่เขา โดยไม่แลแม้แต่หางตา
ลั่วอิงแอบยิ้มน้อยๆ เมื่อความหวังที่จะกุมอำนาจในจวน กำลังจะตกเป็นของนางอย่างสมบูรณ์ ไม่มีชูเหมยฮวา ใช่ว่านางจะปกครองเรือนในไม่ได้เสียหน่อย
สองชั่วยามต่อมา
สวีกงจื่อยืนมองไปที่อดีตภรรยา ที่ตอนนี้กำลังยืนตรวจนับสิ่งของ รวมถึงเงินที่สกุลสวี หยิบยืมนางใช้มาตลอดสิบห้าปี การบริหารบัญชีของมาดาติดลบ จนบิดาของเขารับชูเหมยฮวาเข้าจวน ในฐานะภรรยาของเขา ตั้งแต่นางยังไม่ถึงวัยปักปิ่น
“สตรีหม้าย ย่อมใช้ชีวิตลำบาก หากไร้สามี ข้าจะถือว่าที่ผ่านมาเจ้าแค่น้อยเนื้อต่ำใจ จะกลับจวนสวีเสียตอนนี้ ข้าก็ไม่ขัดข้อง”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ แม้ว่าในอกของเขาตอนนี้ จะร้อนราวไฟสุมก็ตามที
“ขอบคุณ แต่ข้าคงขัดข้องที่จะกลับไป ต่อให้ข้าจะเป็นหม้าย นั่นก็คือปัญหาของข้าที่ต้องแบกรับ ซึ่งข้ายินดียิ่ง ที่จะเผชิญกับการเป็นหญิงหม้ายหย่าสามี”
“ชูเหมยฮวา!”
“น้องพี่...”
ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่ม จะก้าวถึงตัวหญิงสาว เสียงเรียกด้วยความยินดีดังขึ้นเสียก่อน
“พี่ใหญ่…”
ร่างงามหมุนกายกลับไปยังต้นเสียง ก่อนจะวิ่งเข้าสู่อ้อมแขนแกร่งของพี่ชาย ชูจ้านเจ๋อรวบร่างน้องสาวยกขึ้นเหนือพื้น แล้วหมุนไปรอบๆ ราวกับนางเป็นเด็กน้อย
เขาไม่คิดว่าน้องสาว ที่ส่งจดหมายขอให้เขากับเมืองหลวง เมื่อเดือนก่อน จะอาจหาญส่งฎีกาลับขอหย่าขาดจากสวีกงจื่อ ทั้งที่หลายปีก่อน เขาเพียรพยายาม ให้นางคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายหน ทว่ามันกลับไม่เป็นผล แต่ครั้งนี้นางลงมือ ก่อนที่เขาจะเข้าประตูเมืองหลวงมาเสียด้วยซ้ำ
“เรากลับบ้านกัน”
หลังจากวางน้องสาวลงแล้ว แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับคนในอ้อมแขน ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ระคนยินดีต่ออิสระ ที่เขารอให้นางตัดสินใจมาแสนนาน
“เขาจะไม่สามารถ ใช้ข้าบีบบังคับท่าน เช่นเมื่อก่อนได้แล้ว มือข้ามิได้สะอาดเลยเจ้าค่ะ”
มือหยาบดันร่างงามออกห่างตัว ก่อนจะรวบจับมือบางของน้องสาวเอาไว้ ก่อนจะยกมันมาแนบแก้ม ดวงตาที่แดงก่ำ กำลังพยายามอย่างยิ่ง ที่จะข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้ให้ลึกสุดใจ เรื่องราวในอดีต เขาย่อมเข้าใจมันดี
“เจ้าเติบโตขึ้นมากน้องรัก เราไปกันเถอะ”
ร่างสูงโอบประคองน้องสาวไปที่รถม้า โดยไม่คิดจะสนใจครอบครัวของอดีตน้องเขย เพราะพ่อแม่ปู่ย่าตาย เพราะถูกโจรปล้น นั่นทำให้เขาและน้องสาว ต้องแยกห่าง
ชูเหมยฮวาเสมือนตัวประกัน ของอดีตเสนาบดีสวี จนเมื่อสองปีก่อน ชายชราเจ้าเล่ห์ได้ตายไป โดยหาสาเหตุไม่ได้ เขาร้อนใจอยู่มิน้อย เกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายต่อน้องสาว แต่วันนี้เพียงคำพูดเดียวของนาง ทุกอย่างก็กระจ่างแก่ใจเขาแล้ว
