ตอนที่3 ฮูหยินใหญ่
“เยี่ยจงคือตัวข้า ปกป้องเขา...เยี่ยงที่เจ้า เคยลั่นวาจาต่อข้า”
เสียงอันแผ่วเบา อู้อี้อยู่กับอกแกร่งของสหายรัก ดวงตาของนางหนักอึ้งเหลือเกิน บ่าที่เคยแบกทุกอย่างเอาไว้ มาโดยตลอด ตอนนี้มันรู้สึกเบาไปมากทีเดียว
“ข้าจะรอเจ้า ต่อให้จะกี่ภพกี่ชาติ ข้าก็จะรอเจ้า เยี่ยเจา...”
“หลีกไป! ข้าต้องการพบฮูหยินใหญ่”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ ฮูหยินกำลังพักผ่อน”
ภาพทุกอย่างพลันหายไป ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นอย่างช้าๆ นี่คือความจริงที่นางต้องรับมันให้ได้ อย่างน้อยก็ได้หายใจอีกครั้ง ความวุ่นวายในแต่ละครอบครัว มันไม่ใช่ธรรมดาเลยจริงๆ
หญิงสาวยันกายลุกขึ้น ก่อนจะก้าวลงจากเตียง เพื่อออกไปยังห้องชั้นนอก ที่ดูเหมือนการปะทะจะรุนแรงไม่เบา เสียงนี้คงเป็นแม่สามีเจ้าของร่าง
“ท่านแม่มีสิ่งใดต่อข้าหรือเจ้าคะ ไยไม่ให้คนมาตาม มิเห็นต้องเหน็ดเหนื่อยมาด้วยตนเองเลย”
แม้จะพูดไปตามเนื้อผ้า ทว่าท่าทางและแววตานั้น แตกต่างจากชูเหมยฮวา ราวกับคนละคนเลยทีเดียว ซึ่งนั้นเองทำให้ฮูหยินสวี ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดใบหน้าขึ้นสูง เพื่อแสดงถึงอำนาจในฐานะแม่สามี
“ไยเจ้าให้ลั่งอิง เป็นเพียงอนุ นางเป็นถึงบุตรสาวคหบดี ควรได้ตำแหน่งภรรยาหนึ่งในสี่”
“เจ้าตัวเขายังไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ไยท่านแม่ต้องคิดมากด้วยเจ้าคะ หรือนางให้ท่านแม่มาต่อว่าข้า”
สวีฮูหยิน สะบัดหน้าไปทางอื่น เมื่อสะใภ้ที่ไม่เคยปฏิเสธสิ่งใดเลย มีคำถามย้อนกลับมาเสียอย่างนั้น
“นางย่อมไม่เคยทำเช่นนั้น”
“ตอนที่ให้ข้ายอมรับนางเข้าจวน ทุกคนบอกแก่ข้าว่าอย่างไรเจ้าคะ มิใช่ว่าให้นางเป็นเช่นสตรีอื่นหรอกหรือ”
“แต่เจ้าน่าจะฉลาดคิดให้มาก นางเป็นบุตรหลานบ้านใด ฐานะก็ควรให้สมหน้าตา”
“เสี่ยวเยี่ยน ตรวจบัญชีสินเดิม สิ่งใดที่ข้าจ่ายไป นอกเหนือการใช้จ่ายของข้า จดให้ครบถ้วน”
“เจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร!”
“ในเมื่ออยากให้อนุลั่ว อยู่ในฐานะที่เหมาะสม ข้าก็จะมอบมันให้นางทุกอย่าง รวมถึงตำแหน่งฮูหยินใหญ่ และค่าเลี้ยงดูคนในจวนสวี ส่วนสิ่งใดที่เป็นของข้า มันจะติดตัวข้ากลับบ้านไปดังเดิม ส่วนที่ข้าตั้งใจให้ นั่นถือว่าเป็นสินน้ำใจที่ข้าให้ ไม่คิดเอาคืน”
“เหิมเกริมนัก เจ้าคิดว่าสตรีที่ออกเรือนมาแล้ว อยากทำสิ่งใดตามใจก็ได้เช่นนั้นรึ!”
“ข้าก็แค่ภรรยาในนาม หาใช่อย่างที่ควรเป็น เรื่องนี้รู้กันทั่วเมืองหลวง หรืออาจทั้งแผ่นดิน แล้วมันจะแปลกอะไรถ้าข้าจะกลับสู่ครอบครัวตัวเอง”
“สกุลชู ไม่เหลือใครให้เจ้ากลับไปหาแล้ว”
“พ่อแม่ข้าอาจตายไปแล้ว แต่พี่ชายข้ายังอยู่ ถึงเขาจะอยู่ไกลถึงชายแดน แต่อย่างไร เขาก็คือสายเลือดเส้นเดียวกับข้า แต่ที่นี่ไม่ใช่”
“ไปตามกงจื่อมาที่นี่ เดี๋ยวนี้!”
สวีฮูหยิน ออกคำสั่งกับสาวใช้ข้างกาย นางจะไม่มีวันยอมให้ เกิดการหย่าร้างขึ้นเป็นอันขาด
ชูเหมยฮวา เหยียดยิ้มเล็กน้อย หากนางจะไป ใครหน้าไหนก็ขวางนางไม่ได้ และถ้าคิดจะแรงเข้าหานาง ผลลัพธ์นางจะทำให้คุ้มค่าแรงที่ลงไปอย่างแน่นอน
คุณชูผู้นี้แม้จะอ่อนแอ แต่ทรัพย์ที่เกื้อหนุน มีมากกว่าสกุลสามี ที่มีเพียงชื่อ ที่ยังอยู่มาได้จนบัดนี้ ก็ด้วยสินเดิมของนาง ในเมื่อไม่รู้จักเกรงใจ ในความดีที่มอบให้ ไยต้องแยแส ว่าคนพวกนี้จะอยู่แบบยาจก หรือไร้ที่ซุกหัวนอนด้วยเล่า
“มีเรื่องอันใดกัน!”
ผ่านไปเพียงครู่เดียว แม่ทัพหนุ่มได้ก้าวเข้ามาในเรือน พร้อมคำถามที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เพราะน้ำเสียงที่ใช้ ไม่ค่อยนุ่มนวลเอาเสียเลย
“กงจื่อ นางคิดจะไปจากเรา”
สวีฮูหยินรีบบอกบุตรชาย ก่อนจะหันกลับไปส่งสายตาฟาดฟันใส่ลูกสะใภ้
“เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา จึงคิดเรียกร้องไร้สาระในวันนี้”
“การที่ข้าจะกลับไปอยู่บ้านข้า มันคือการเรียกร้องอย่างนั้นรึ!”
“อย่านึกว่าข้าโง่ เจ้าจงใจทำลายวันเข้าหอของข้า”
“สามี หากท่านจะเข้าหอก็เข้าไป ข้าหาได้ใส่ใจ ส่วนที่ข้าจะหย่าขาดจากท่าน นี่ก็คือเรื่องของข้า แน่นอนว่าถ้าเกิดการขัดขวางขึ้น ผลที่ตามมามันจะ...หือ!”
วืด! มือหนาที่หมายคว้าแขนภรรยา กลับได้เพียงความว่างเปล่า ส่วนเป้าหมายนั้น ยืนห่างออกไปอีกระยะ ซึ่งความว่องไวของนาง มันหาใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย
“ท่านจะตอบรับหรือปฏิเสธก็ย่อมได้ แต่ถ้าสิ่งใดก็ตาม ที่ข้าคิดจะทำ ผลลัพธ์ต้องสำเร็จเท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่การหย่าขาดจากท่าน อ่อ...อย่าลืม คืนเงินที่ครอบครัวของท่าน หยิบยืมไปจากข้า ช่วยคืนมันให้ครบ”
“ชูเหมยฮวา!”
“ถ้ายังคิดก้าวเข้าหาข้าอีกครั้ง สกุลสวี ท่านต้องมั่นใจ ว่าสกุลสวีรับกับผลที่ตามมาได้ด้วย หากไม่...ก็อย่าแม้แต่จะคิด”
ทั้งคำพูดและท่วงท่า ในการก้าวเดินของหญิงสาว มันต่างจากเดิม จนสองแม่ลูกหันมองหน้ากัน จะเป็นไปได้อย่างไร สตรีอ่อนแอขี้โรค วันนี้จะสง่าราวนางหงส์
“เจ้ามันจิตใจคับแคบเกินไปแล้ว”
เท้าบางที่กำลังก้าวกลับเข้าห้องชั้นใน หยุดชะงัก...ทว่านางมิได้หันกลับไปมองด้านหลัง อย่างที่สามีคิด
“เดิมทีข้าไม่ได้รีบร้อน จะไปในวันสองวันนี้ กะว่าจะคัดเลือกอนุของท่านสักคน ขึ้นดูแลงานแทน แต่เป็นมารดาของท่าน ที่มาเรียกร้องตำแหน่งสำคัญให้สะใภ้ใหม่ ข้าหรือจะกล้าขัด และเหตุผลใดที่ข้าต้องมาเสียเวลาอยู่ที่นี่”
“เจ้าคิดว่าจะไปก็ไป จะอยู่ก็อยู่ เหมือนบ้านข้าเป็นเพียงโรงเตี๊ยมได้หรือ”
“หาใช่โรงเตี๊ยมเลย แต่เป็น...”
“เป็นอะไร!”
สวีฮูหยินรีบถามเสียงเขียว เมื่อความคิดของนาง ไปไกลถึงคำด่าทอที่ต่ำช้า
“ท่านแม่ย่อมรู้ดีแก่ใจ ไยยังอยากให้ข้าเอ่ยออกมา ให้บ่าวไพร่ได้ยินอีกเล่าเจ้าคะ”
“สาวหาว! ตราบใดที่เจ้ายังไม่มีหนังสือหย่า ต่อให้ตายเป็นผี เจ้าก็คือคนสกุลสวี”
“ไม่นานเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนที่ถ้าได้ลงมือทำ รวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด”
เอ่ยจบร่างระหงก็ได้ก้าวเท้าต่อ โดยไม่สนใจเสียงด่าทอของแม่สามี นางอยากรู้นักว่าทำไม ชูเหมยฮวาถึงได้ทนแม่ลูกสกุลสวีมาจนป่านนี้ หากเป็นนาง คงลบชื่อพวกเขา ออกจากแผ่นไปนานแล้ว
