ตามเกี้ยวสามีตาบอด 2
“ปลูกข้าว ปลูกผักเจ้าค่ะ” ฉีเยี่ยนพยักหน้ารับ เขาย่อมตามใจนาง ส่วนพื้นที่ปลูกข้าวเขาได้ไถหน้าดินไปเป็นบางส่วนและเพาะปลูกเรียบร้อยแล้ว
“ได้ พรุ่งนี้เราจะซื้อเมล็ดผักกลับมาด้วย ส่วนข้าวข้าปลูกไว้บางส่วนแล้ว เดี๋ยววันหน้าเจ้าค่อยไปดู”
ฉินหร่านพยักหน้ารับอย่างดีใจ อย่างน้อยสามีนางก็ปลูกข้าวไว้แล้ว อย่างน้อยปีหน้าก็คงไม่อดอยาก ก่อนจะเริ่มวางแผนต่างๆ ที่ตัวเองพอจะทำได้ ไว้ให้นางคุ้นเคยกับที่นี่ก่อน แล้วค่อยชวนสามีสร้างบ้าน เพราะบ้านเก่ามีแค่หนึ่งห้องนอนเท่านั้น หากวันหนึ่งมีลูกขึ้นมาจะลำบาก
แต่จะบอกเลยก็คงไม่ใช่ เพราะนางพึ่งมาอยู่ที่นี่ไว้ให้สามีนางตามใจนางมากกว่านี้เสียก่อน แล้วค่อยบอกเล่าให้ฟังทีหลัง หรือไม่ก็มีเงินมากกว่านี้เสียหน่อย จะได้สร้างบ้านหลายห้องหน่อย
“ท่านพี่ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าอยากได้บุตรชายหรือบุตรสาว”
ฉินหร่านเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อทั้งคู่กลับมายังห้องนอนแล้ว ดวงตางดงามทอประกาย ยิ่งเห็นใบหูของสามีแดงระเรื่อ ยิ่งทำให้นางยิ่งอยากกลั่นแกล้ง ใบหน้างามชะโงกหน้าไปใกล้จนแทบชิดใบหน้าคนหล่อที่เม้มปากแน่น ทว่ามือหนากลับเหนี่ยวรั้งเอวขอดมานั่งบนตักแกร่ง
“เจ้ายั่วพี่”
น้ำเสียงแหบพร่าดังแผ่วเบาอยู่ข้างหู พร้อมใบหูเล็กๆ โดนขบแผ่วเบา ฉินหร่านหน้าแดงซ่านอย่างเขินอาย สามีหน้าบางทำไมใจกล้าแล้ว แต่ถึงจะกล้าแค่ไหนจะมาสู้สาวศตวรรษที่21เช่นนางได้อย่างไร นางหันไปมองคนหล่อที่ยังปิดตาสนิท หากลืมตาขึ้นมาคงเห็นสายตาร้อนแรงเป็นแน่ สองมือเรียวเล็กกอดรอบต้นคอสามีหมาดๆ เอาไว้
“แล้วท่านพี่ชอบหรือไม่เจ้าค่ะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นหวานล้ำ ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากสามีแผ่วเบา ทว่าหลังจากนั้นนางได้แต่ร้องขอความเมตตาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เรือลำน้อยของนางถูกซัดสาดเข้าชายฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ความสุขหรรษาทำให้นางปล่อยกายปล่อยใจไปกับคลื่นลมที่โหมกระหน่ำอย่างเต็มอกเต็มใจ...
เช้าวันรุ่งขึ้นฉินหร่านแทบลืมตาไม่ขึ้น ทว่าเมื่อรู้ว่าต้องเข้าไปในเมืองนางจึงลากสังขารลงมาจากเตียงนอน ซึ่งสามีตาบอดของนางตื่นก่อนแล้ว เวลานี้ยามเหม่า (เวลา 05.00 น. - 06.59 น.) ซึ่งต้องเดินเข้าไปในเมืองซึ่งห่างจากที่นางอยู่ประมาณสิบลี้หรือห้ากิโลเมตร และพวกนางต้องเดินเท้าเข้าเมืองทำให้ต้องตื่นแต่เช้า
และความจริง ต้องออกเดินทางตั้งแต่ยามอิ๋นสี่เค่อ (ยามอิ๋นเวลา 03.00 น.- 04.59 น. หรือเวลาตี่4นั่นเอง) เพื่อจะได้ไปตลาดเช้าได้ทัน แต่เมื่อคืนนางถูกเคี่ยวกรำเกือบทั้งคืน ทำให้นางตื่นสายและฉีเยี่ยนก็ไม่คิดจะปลุกนางด้วย
ฉินหร่านรีบลุกขึ้นล้างหน้า และเตรียมตัวเดินทาง นางแบกตะกร้าสานคนละใบกับสามี ของนางใบเล็กกว่า ทั้งคู่จับมือจูงกันเดินไปตามเส้นทางตามความทรงจำของร่างเดิม ระหว่างทางก็มีหลายคนที่เข้าเมืองเช่นกัน นางยังได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของพวกป้าๆ เหล่านั้นด้วย
“สามีตาบอดเช่นนั้นจะไปทำอะไรกินได้”
“สักวันคงจะทิ้งสามีตาบอดไปหาสามีใหม่”
คำพูดของชาวบ้านทำให้ร่างสูงตัวแข็งทื่อจนแทบก้าวไม่ออก มีเพียงมือน้อยๆ ที่อบอุ่นเท่านั้นที่ฉุดรั้งความคิดกลับคืนมา ฉินหร่านถลึงตาใส่พวกนาง ก่อนจะลากสามีให้เดินเร็วขึ้น นางไม่อยากจะทะเลาะกับพวกนาง พูดไปก็เปล่าประโยชน์ มีแต่การกระทำเท่านั้นที่จะตบหน้าพวกนางได้ดี
“ท่านพี่อย่าคิดมาก ข้าอยู่นี่” ฉินหร่านพยายามเอ่ยบอกคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือบอบบางกุมมือหนาเอาไว้เอาไว้แน่น
“อือ”
ฉีเยี่ยนตอบรับแผ่วเบา มือหนากอบกุมมือบางเอาไว้อย่างถนอม ก่อนจะเดินตามแรงลากของภรรยาสาวอย่างว่าง่าย เขารู้ดีว่าตนไม่ใช่บุรุษสมบูรณ์แบบ การที่นางมาเป็นภรรยาของเขาก็ถือว่าต้องมาทนลำบากแล้วและยังต้องมาอับอายชาวบ้านอีกด้วย หากเป็นไปได้เขาก็อยากให้ภรรยาของตัวเองมีความสุขและมีชีวิตที่ดี
