
บทย่อ
‘รักษ์’ ชายหนุ่มผู้มีชีวิตพลิกผันราวกับได้รับพรจากสวรรค์ ‘อัปสรสุดา’ หญิงสาวผู้งดงามราวนางฟ้าเดินดิน เพียงแค่พบกัน ไม่ได้รักกันคงไม่เจ็บปวดเท่านี้... แต่เพราะรัก ทั้งสองจึงต้องใช้ความรักและหัวใจที่เข้มแข็งร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรค ท้องฟ้าที่เคยมืดมนด้วยอุปสรรคนานา สว่างพร่างพราวตา ด้วยแรงแห่งรัก ฟ้าพราวรัก...
ตอนที่1.
แสงแดดในตอนบ่ายคล้อย สาดส่องลอดผ่านร่มไม้หนาลงมารำไร สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ กระทบใบไม้แห้งให้ปลิดปลิวร่วงลงยังพื้นเบื้องล่าง ใบไม้ใบหนึ่งหล่นลงมาตรงหน้ารูปถ่ายบนกำแพงปูน
มือของใครคนหนึ่งซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้ารูปนั้น ก็เอื้อมมาหยิบใบไม้ทิ้งไป ปลายนิ้วยื่นมาสัมผัสรูปถ่ายแผ่วเบา... ลากไล้... ไปทั่ววงหน้าอ่อนเศร้า ประทับตรึงตรามิรู้ลืม
ในส่วนลึกของหัวใจ ภาพของสตรีร่างบางยังกระจ่างชัด รอยยิ้มอ่อนหวานกับสายตาอ่อนโยน ยามทอดมองมาเจือความอาทรเสมอ มิเคยเลือนจากความทรงจำ สตรีหนึ่งเดียวในดวงใจที่เขาเรียกว่า ‘แม่’
แม่เป็นเพียงคนรับจ้างซักรีดในชุมชนแออัด ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ นับตั้งแต่คนหาเช้ากินค่ำ ไล่เรียงไปจนถึงคนที่มีอาชีพที่สังคมรังเกียจอย่าง ‘โสเภณี’
“นังเพ็ญ ข้าว่าเอ็งไปทำงานกับข้าเถอะวะ ไอ้รักษ์ลูกเอ็งจะได้มีเงินไปเข้าโรงเรียนดีๆ”
เสียงของเพื่อนบ้านที่เช่าห้องอยู่ติดกัน แนะนำหญิงลูกติดด้วยความหวังดี หากคนฟังมีเพียงรอยยิ้มอ่อนๆส่งให้
“ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกจ้ะ”
เสียงที่เอ่ยนุ่มนวล ทำให้คนถามรู้สึกว่าคนพูดมิได้ดูถูกอาชีพของตนเอง แต่ก็อดหว่านล้อมอีกฝ่ายไม่ได้
“ทำไมต้องทนซักผ้าจนมือแทบหักแบบนี้ อีกกี่ชาติเอ็งจะลืมตาอ้าปากกับเขาได้ ลองเก็บไปคิดดูอีกที”
คนกำลังฟังอยู่ส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันขอบคุณพี่สายมากที่หวังดี แต่ฉันทำไม่ได้จริงๆ ” แววตาสบกับอีกฝ่ายมีความแน่วแน่ฉายชัด
“ตามใจเอ็งก็แล้วกัน ถ้าเปลี่ยนใจก็มาบอกข้าได้”
สายเมื่อเห็นสายตามุ่งมั่นจริงจังของหญิงลูกติดก็ยอมแพ้ ถอยทัพกลับไปทันที
ลูกชายที่นั่งเล่นอยู่ใกล้ๆขยับเข้ามาโอบกอดมารดา พลางมองตามหลังคนเดินออกไปเขม็ง คำถามผุดขึ้นมากลางใจดวงน้อย
“แม่จ๋า...น้าสายเขามาชวนแม่ไปทำงานอะไรจ้ะ? ”
มารดาลูบศีรษะลูกชายตัวน้อยเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นจูงมือพาเข้าไปในบ้าน
“แม่ยังไม่ได้ตอบรักษ์เลย” เด็กชายเอ่ยท้วง
มารดายิ้มอ่อนๆแตะแก้มลูกชายพลางนั่งคุกเข่าตรงหน้า สายตาอ่อนโยนจ้องลูกน้อยนิ่งนาน
“งานที่แม่ทำไม่ได้และไม่คิดจะทำด้วย รักษ์รู้แค่นี้พอแล้ว ไว้ลูกโตขึ้นลูกจะเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทำไม่ได้”
ในวันนั้นรักษ์พยักหน้ารับไม่เอ่ยถามอีก กาลต่อมาเมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้น คำถามนี้ก็ได้รับคำตอบ
“คุณครับ...จะให้เอาอัฐิไปไว้ที่เจดีย์วันนี้เลยไหมครับ? ” เสียงดังมาจากด้านหลังปลุกให้คนที่อยู่ในภวังค์สะดุ้ง หันไปมองคนถาม
“ลุงมั่นจะย้ายทันหรือ นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว” รักษ์เอ่ยปรารภ พลางยกนาฬิกาขึ้นดู
ชายแก่ยิ้มแฉ่งพยักหน้าหงึกๆ “ทันถมเถไปครับผมมีไอ้แดงช่วยทั้งคน” แกมั่นใจสมชื่อ
“จะเอาอย่างนั้นก็ได้ผมจะจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายให้ลุงเลยก็แล้วกัน” ว่าพลางล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาดึงธนบัตรส่งให้ชายแก่ปึกหนึ่ง
“ทำให้เรียบร้อยหน่อยนะผมอยากให้แม่อยู่สบายๆ” ชายหนุ่มกำชับอีกครั้ง
คนรับค่าจ้างหน้าบานกุลีกุจอทำงานอย่างรีบเร่ง หากมิได้ละเลยความเรียบร้อยสมกับที่คนว่าจ้างต้องการ ไม่นานอัฐิก็ถูกบรรจุในเจดีย์ พร้อมกับรูปถ่ายของเจ้าของอัฐิ ได้ถูกนำมาติดไว้ตรงฐานเจดีย์เรียบร้อย
ธูปถูกปักลงตรงกระถางธูปหน้ารูปถ่าย ชายหนุ่มก้มลงกราบก่อนจะหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน เขาหันไปยังชายแก่และหลานชายที่ยืนคอยอยู่ข้างๆ
“ส่วนกระดูกของยายแป้น ลุงมั่นช่วยเอามาไว้ด้วยกันที ฝากลุงช่วยดูแลให้ผมหน่อยนะ ผมอาจจะไม่ได้มาดูเอง” รักษ์ถอนหายใจเบาๆ
“ผมคงต้องกลับก่อน ขอบคุณลุงมากที่เป็นธุระจัดการให้ ผมลาล่ะครับ”
ชายหนุ่มพนมมือไหว้ก่อนจะสาวเท้ายาว เดินไปยังรถที่จอดใต้ร่มไม้ไม่ไกลนัก
“นายรักษ์ ฉันรอนายตั้งนานนึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว เพื่อนเจ้าบ่าวอะไรวะมาสาย”
เสียงบ่นของเจ้าบ่าวดังมาพร้อมกับฝ่ามือตบไหล่คนถูกบ่นแรงๆ
“เจ้าการ ฉันรีบแล้วนะ แกอย่ามาแกล้งบ่นดีกว่า” รักษ์โอบไหล่ปราการ เพื่อนร่วมรุ่นผู้ชิงสละโสดก่อนเพื่อนฝูง
“ทำเป็นรู้ทัน! ” ปราการว่าดังๆ พลางเดินนำเพื่อนเข้าไปด้านใน “ไปกันเถอะ เจ้าสาวจะลงมาแล้วเดี๋ยวไม่ทัน”
บรรยากาศงานแต่งงานอบอวลไปด้วยความยินดี และเสียงชื่นชมเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก เพราะแต่ละฝ่ายต่างมีฐานะทางสังคมที่เท่าเทียมกัน รักษ์เดินตามเจ้าบ่าวในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว ข้างๆ กายเขามีเพื่อนเจ้าสาวหน้าตาหน้าเอ็นดูเดินมาด้วย
“เจ้าบ่าว หอมเจ้าสาวหน่อย! ” เสียงเชียร์ดังมาเป็นระยะๆ
ปราการทำหน้าเหรอหรา เมื่อถูกแขกที่มาร่วมงานดันให้ยืนชิดเจ้าสาว พลางเร่งให้ทำตามเสียงเชียร์ รักษ์อมยิ้ม ขำท่าทางขัดเขินของเพื่อน
“สงสัยเจ้าบ่าว...จะอายมากกว่าเจ้าสาวนะคะ”
เสียงใสๆ ของเพื่อนเจ้าสาวเอ่ยขึ้น ตาคู่สวยจ้องมองอย่างขบขัน พลางหันมาหาแนวร่วมข้างๆ
“ครับ... นายการเขาขี้อายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่กลับแซงหน้าเพื่อนฝูงแต่งงานก่อนได้” รักษ์สนับสนุน
“ยายวิจีบคุณการก่อนไงคะ”
เจ้าหล่อนว่าหน้าตาเฉย ยิ้มขันที่เห็นเพื่อนเจ้าบ่าวทำตาปริบๆ
“จริงๆนะคะยายวิกล้าจะตายพอเจอคุณการปุ๊บ ก็ติดใจความหล่อตามจีบคุณการปั๊บ”
“ผมก็หลงชื่นชมมันอยู่ตั้งนาน คิดว่ามันแน่ที่แต่งงานก่อนใครเพื่อน” รักษ์กอดอกมองเพื่อนอย่างระอา “ยังอุตส่าห์คุยโม้”
“แต่ทั้งคู่ก็เหมาะสมกันดีนะคะ คนนิสัยต่างกันมาอยู่ด้วยกัน จะได้ทดแทนในสิ่งที่ต่างฝ่ายไม่มี รับรองอยู่กันยืดแน่”
“คงเป็นอย่างคุณว่า” ชายหนุ่มเห็นด้วย “ขอโทษนะครับ คุยกันตั้งนานผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลยผมรักษ์ อนันตยรักษ์ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันสรินดา สิรินารถ” หญิงสาวแนะนำตัวเองบ้าง
“คุณสรินดา... ลูกสาวคุณอาวาทิน เจ้าของวีไอพี ทราเวลใช่ไหมครับ”
“คุณรักษ์รู้จักพ่อของดิฉันด้วยหรือคะ? ” หญิงสาวแปลกใจ
“คุณพ่อของผมท่านเป็นเพื่อนกับคุณอาวาทิน ท่านมักจะนัดกินข้าวกันบ่อยๆ ผมบังเอิญอยู่ร่วมวงกับท่านแทบทุกครั้ง” รักษ์อธิบาย
“ถ้าอย่างนั้นเราก็คนกันเอง” สรินดาสรุป พลางผายมือไปที่เก้าอี้ใกล้ๆ “นั่งตรงนี้ดีกว่าค่ะ ชักจะเมื่อยแล้ว”
ชายหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งอย่างสุภาพบุรุษ แล้วนั่งลงตรงข้าม
“ปล่อยให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเขาทำหน้าที่ต่อดีกว่าเรานั่งรอตรงนี้ให้หายเมื่อยเขาคงไม่ว่า”
ชายหนุ่มพูดติดตลก พลางกวักมือเรียกบริกรให้นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ สองหนุ่มสาวคุยกันเพลิน จนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครคนหนึ่ง เดินมายืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับส่งเสียงเรียก
“หนูรินมานั่งตรงนี้เอง! ” เจ้าของเสียงนั่งลงข้างๆ “เราหาเธอตั้งนาน คุณพ่อก็ทิ้งเราไปคุยธุระกับเพื่อน”
หญิงสาวที่เข้ามาใหม่ไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ด้วยเลย ตั้งท่าเล่นงานเพื่อนสาวอย่างเดียว
“ขอโทษจ้า... นางฟ้าขี้งอน” สรินดาลากเสียงล้อเลียนเพื่อนสนิท
“เราไม่ได้งอนสักหน่อย เราแค่ตามหาเธอจนเหนื่อยต่างหาก”
เจ้าหล่อนว่าแล้วก็คว้าแก้วน้ำ ที่คิดว่าเป็นของเพื่อนมาดื่ม
“กินน้ำก็หายแล้ว”
“แก้วนี้ของฉันที่ไหนกันยายฟ้า”
สรินดายิ้มขำชี้แก้วที่เพื่อนเพิ่งดื่มแล้ววางไว้ บุ้ยบ้ายไปยังเจ้าของตัวจริง
“ของคุณรักษ์ต่างหาก กินอะไรไม่ดูเลยน่าขายหน้าจริงๆ”
“หา! ”
หญิงสาวอุทานลั่น หันไปดูเจ้าของแก้วที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามแล้วหน้าแดงกับความเปิ่นของตัวเอง หากมิใช่อายอย่างเดียวมันแถมความเคืองขุ่นมาด้วย ก็จะอายอย่างเดียวอยู่หรอก แต่อีตาเจ้าของแก้วน้ำทำตาพราววิบวับ แถมยังส่งยิ้มคล้ายยั่วเย้ามาด้วย กวนโมโหที่สุด
