ตอนที่1
นกุล จุลวงศ์ หิ้วกระเป๋าเอกสารมือหนึ่ง กระเป๋าบรรจุเสื้อผ้าอย่างใบเล็กอีกมือเดินลงจากเครื่องบินอย่างกระฉับกระเฉง
ความรู้สึกของเขาคือ การเดินทางสิ้นสุดลงเร็วดี เมื่อเขาเลือกใช้บริการสายการบินภายในประเทศ แทนรถไฟที่เขาชอบ
เขาออกมาภายนอกตัวอาคารที่พักผู้โดยสาร พบว่าคนขับรถที่เป็นหนุ่มฉกรรจ์นำรถมารอรับอยู่แล้ว
ฉกาจ ไม่ใช่คนขับรถเก่าแก่ของเขา เขาไม่เคยมีคนรับใช้เก่าแก่ที่อยู่กับเขามาเป็นสิบ ยี่สิบปี สักคนด้วยซ้ำ
นกุลสร้างความมั่งคั่ง และฐานะอันเป็นปึกแผ่น ด้วยตัวเอง
เขาไม่มีมรดกเดิม ตกทอดมาจาก พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย อย่างเพื่อนนักธุรกิจบางคน
ตลอดวัยเด็กจวบจนวัยผู้ใหญ่ เขาต้องต่อสู่ด้วยลำแข็งและมันสมองที่มี
ไม่เคยมีสิ่งใดที่เขาจะได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง
นกุลไม่เคยอาย ว่ากำพืดเดิมของเขาอยู่ในดงสลัม มีพ่อ แม่ ประกอบอาชีพจัดเข้าประเภทหาเช้ากินค่ำ ตัวเขาเองก็ต้องปากกัดตีนถีบ กว่าจะมีเช่นที่มีในทุกวันนี้ ก็ผ่านจุดเลือดตาแทบกระเด็นมาแล้ว
แต่ถึงไม่อาย เขาก็ต้องยอมรับว่า กำเนิดของเขาทำให้เขามีปมด้อย
บางครั้ง เมื่อต้องพาตัวเองเข้าสังคมที่เป็น “ไฮโซไซเอตี้” จริงๆ เขาก็อดคิดอดระแวงไม่ได้ว่า จะมีสายตาคู่ไหนลอบมองเขาอย่างหยามเหยียดหรือไม่ เนื่องจากเขานั้นหาได้สืบสายเลือดสูงส่งมาจากไหน
แรกทีเดียว ความตั้งใจ ที่มาจากการ “ใฝ่สูง” ของเขาก็คือ ขอให้ตนร่ำรวย มีการงานดีๆ ทำ แทนที่จะรับจ้างไปวันต่อวัน เช่นพ่อของเขา ซึ่งได้ตายจากเขาขณะที่เขาอายุสิบสี่ย่างสิบห้า
นกุลทำฝันให้เป็นจริงได้สำเร็จ แม้ว่ากว่าจะสำเร็จได้นั้น เขาต้องฝ่าดงขวากหนาม ทำเอาชีวิตแทบไปไม่รอดก็หลายครั้ง
เขากลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ขณะอายุยี่สิบหก เป็นนักธุรกิจชั้นแถวหน้า ที่มีความฉลาดหลักแหลม เป็นที่เกรงขามของคู่ต่อสู้ในสังเวียนธุรกิจ ด้วยวัยเพียงสามสิบต้นๆ
เขามีบริษัททำเงินใหญ่โต มีบ้าน มีรถ มีคนรับใช้คอยอำนวยความสะดวกสบายให้ตามที่ต้องการ
เมื่อเขามีเงินมีฐานะมั่นคงเป็นปึกแผ่น เกียรติที่เขาไม่เคยมีก็เริ่มมีมา
ผู้คนในสังคมชั้นสูงให้การยอมรับ และต้อนรับเขา
แต่แค่นั้นดูเหมือนจะไม่พอเพียง สำหรับคนที่ยังมี “ปม” อย่างเขา
“ขอต้อนรับกลับบ้านครับ”
ฉกาจทักเขา ก่อนเปิดประตูรถให้
“ขอบใจ”
เขากล่าวตอบ ยิ้มกับคนขับรถคนล่าสุด ที่น่าจะอยู่ทำหน้าที่ขับรถให้เขามากกว่าคนขับรถก่อนๆ
นกุลดีใจ มีน้ำใจกับคนต่ำต้อยและด้อยกว่าเขาเสมอ....
แต่เขาก็มีกฎของตัวเองอยู่อย่างหนึ่ง ที่บางคนอาจจะมองว่าเขาใจดำอำมหิตอยู่สักหน่อยนั่นก็คือ เขาไม่อดทน และพร้อมจะจ่ายเงินเดือนล่วงหน้าสามเดือน แก่คนที่เขาจ้างมาทำงานให้และทำงานไม่สมกับอัตราค่าจ้างที่เขายอมจ่ายสูงมากเป็นพิเศษ
อาจเพราะเหตุนี้ ทำให้เขามีคนงาน มีลูกน้อง มีผู้ช่วย รวมถึงบริวารในปกครองเป็นคนมีศักยภาพในการทำงาน โดยที่ตัวเขาเอง ไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชให้มาก
“ฉันไม่อยู่หลายวัน ทางบ้านมีอะไรหรือเปล่า ?”
“ไม่มีครับ อยู่กันสุขสบายดีทุกคน”
คำตอบที่ได้รับกลับมาทันที ยังไม่น่าพอใจนักสำหรับนกุล
“คุณหญิงล่ะ ? เห็นว่าทางกรุงเทพอากาศแปรปรวนขนาดหนักประเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแถมมีฝนตกในบางวัน จนคนเป็นหวัดกันงอมแงมทั่วบ้านทั่วเมือง”
“คุณหญิงก็สบายดีครับ บ้านเราโชคดีว่าไม่มีใครเป็นหวัดกันเลย”
ฉกาจตอบยิ้มๆ
นกุลเองก็คิดได้ว่า ออกจะแสดงความห่วงใจผู้ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา มากไปหน่อยแล้วเลยไม่คิดจะซักถามอะไรอีก
แต่ในใจนั้น ไม่ได้หยุดคิดถึง “ภรรยา”
ใครๆ ล้วนชมเขา บอกว่ารสนิยมในการเลือกภรรยาของเขาดีเลิศ แต่เขาเองรู้ดีกว่าใคร ว่าการที่เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวที่มีคุณสมบัติครบตามสเปกที่ตั้งเอาไว้ โดยเฉพาะคุณสมบัติข้อที่จะสามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดแก่เขาได้ นั่นคือ ต้องมีศักดิ์ตระกูลมาเป็นอันดับหนึ่ง ออกจะเป็นเรื่อง “ฟลุค” เต็มที
นกุลอยากจะคิดว่า ทุกอย่างที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ชายโชคดี ที่น่าอิจฉา สืบเนื่องมาจากคนสองคน
คนหนึ่ง...หรือจะเรียกว่าองค์หนึ่ง น่าจะถูกต้องกว่า คือ บิดาของหล่อนซึ่งต้องใช้คำแทนองค์ว่า “ชนก” หรือไม่ อีกทีก็ใช้คำว่า “ท่านพ่อ” หรือ คุณพ่ออย่างคนทั่วไปเพราะท่านชาย อมรรฆวัสมีฐานันดร ชั้นพระยศ “หม่อมเจ้า” นำหน้าชื่อ แต่ราชาศัพท์อาจใช้คำว่า “พระนาม”
อีกคนที่มีส่วนทำให้ “ฝัน” ของนกุลเป็นจริง เป็นชนสามัญธรรมดาชื่อ คชา เหมชาติ
แต่มูลเหตุส่วนใหญ่ที่สานความฝันของเขาจนประสบพบความสำเร็จ ดังใจที่เคยวาดหวังไว้มาจาก ท่านชาย อนรรฆวัส ชลสูรย์
นกุลรู้จักท่านชายพระองค์นี้มาหลายปี แต่เพิ่งมาได้พบและรู้จัก หม่อมราชวงศ์หญิงอมิตวรรณ ธิดาของท่าน ก่อนหน้าที่ท่านชายจะถึงแก่ชีพิตักษัยกะทันหัน จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ไม่กี่เดือน เนื่องจากที่ผ่านมานั้น คุณหญิงได้เดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ นับตั้งแต่เรียนจบชั้นเตรียม
เป็นที่รู้กันของคนในสังคมว่าท่านชาย อนรรฆวัส หม่อมเจ้าวัยหกสิบเป็นเจ้า...ตามสำนวนชาวบ้านก็ต้องว่า “ไม่เอาถ่าน” มาแต่ไหนแต่ไร ไม่สมกับถือกำเนิดในราชสกุลสูงส่ง
กิจวัตรประจำวันของท่านอนรรฆวัส คือ ผลาญเงินมรดกไปวันๆ เพราะทรงติดการพนันในระดับที่น่าจะเรียกได้ว่าถูกผีพนันสิง
ราชสกุล “ชลสูรย์” นี้ มีด้วยกันอยู่หลายสาย แต่สายของท่านอนรรฆวัสดูเหมือนจะตกต่ำกว่าพี่ๆ น้องๆ
การที่ท่านได้รับมรดกมากมายจากท่านพ่อของท่าน ไม่ได้หมายความว่า การใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย นำเงินไปละลายในบ่อนพนันจะไม่ทำให้ทรัพย์มรดกร่อยหรอ
ยิ่งท่านเองทรงจับจ่ายประการเดียว โดยไม่เคยสักครั้งที่จะทรงหามาเพิ่มเติม ต่อให้รวยแค่ไหนก็ต้องจนลงได้สักวัน
ท่านเองก็ใช่วาจะดำรงองค์เป็นคนถูกผีพนันเข้าสิงแค่เดือน หรือปีเดียว หากทว่า ประพฤติเยี่ยงนี้มาหลายปี
เหตุนี้เอง เมื่อถึงแก่ชีพิตักษัย สิ่งที่เหลือไว้เบื้องหลัง จึงกลายเป็นเรื่อง...”น้ำลดตอผุด” เพราะไม่เพียงแต่จะไม่เหลือมรดกทรัพย์สินไว้ให้แก่ลูกหลาน (ซึ่งบังเอิญว่าท่านทรงมีธิดาคนเดียว)......แต่ยังกลายเป็นว่า ทรงทิ้งหนี้สินไว้มากมายเป็นภาระแก่ทายาท ที่อยู่เบื้องหลัง
