สภาวะฉุกเฉิน
ผ่านไปหนึ่งเดือน
สงครามของเราทั้งสองเงาก็ยังไม่จบ ผมเองก็มีคนที่อยู่ในอเมริกา และให้พวกเขาทำการปั่นป่วนธุรกิจของพวกเขาเป็นว่าเล่น รวมถึงปะทะกันนับไม่ถ้วน ซึ่งคนที่คอยบงการทุกอย่างที่อเมริกานั่นก็คือเอ็กเซล ในทุกๆวันเอ็กเซลฆ่าพวกมันไปเรื่อยๆ และมีบางครั้งที่เขาเองก็ต้องหลบหนีเพราะเกือบจะเสียชีวิต โดยที่เอ็กเซลนั้นไปกับอุ้ม วินาทีที่ลงจากเครื่องนี่ไม่ต้องสืบ โดนตามราวกับเป็นนักโทษหลบหนีกันเลยทีเดียว
ส่วนทางประเทศไทย พวกมันเองก็เหลือน้อยลงเต็มที เพราะพวกเราจัดการพวกมันทันทีที่มาประเทศไทย เนื่องจากเอ็กเซลได้ไปเสี่ยงเอาข้อมูลชื่อของพวกมันที่จะมาไทย และพวกเราก็ส่งมันต่อให้หน่วยความมั่นคงแห่งชาติ โดยในตอนนี้เราร่วมมือกับพวกรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธการเข้าช่วยเหลือผมได้ เพราะถ้าขาดผมไป สมดุลอำนาจจะพังลงทันที
และยิ่งผมเลี้ยงพวกเขาไว้มากมาย มันจึงทำให้พวกเขาเคารพผมและส่งคนมาช่วยผมตลอดเวลาจนพวกมันไม่ได้แม้แต่จะมาแอบส่องดูผมเลยทีเดียว นี่แหละคือความต่างระหว่างคนที่ออกมาจากเงากลายเป็นแสงสว่างที่สุดแล้ว กับกลุ่มคนที่ยังเป็นเงาและไม่มีใครยอมรับ ซึ่งนอกจากนั้นเราก็ยังสร้างสื่อที่ผมโดนไล่ล่ามาเป็นคลิปอีกด้วย นี่จึงทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวกันยากมาก
ซึ่งตัวผมเองก็ยังต้องสร้างแสงสว่างให้มากกว่าเดิม ผมได้ทำการพัฒนาและช่วยเหลือหมูบ้านต่างๆในประเทศไทย เพื่อให้พวกเขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่การช่วยเหลือนี้ผมก็จับมือกับนายกให้เขาได้ชื่อไปมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ ทุกคนก็ยังได้เห็นผ่านสื่อออนไลน์ประเภทต่างๆอยู่ดีว่าเป็นตัวผมที่ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง คิดด้วยตัวเองซะส่วนใหญ่
“เดี๋ยวพี่จะไปที่ลอนดอนแล้วนะ” ผมกล่าว ซึ่งผมกำลังนั่งทานข้าวกับน้องๆโดยมีจีอาคอยดูแลเจบีและน้องชายของตัวเอง ส่วนเจดี้เธอก็เลือกมหาลัยมาแล้ว และเข้าเรียนที่มหาลัยกรุงเทพ ซึ่งมันอยู่ที่เขตรังสิต และหลังจากที่เกิดสงครามขี้น ผมก็ได้นัดน้องๆมากินข้าวสองวันในหนึ่งสัปดาห์ ช่วงแรกทุกคนยังเกร็งๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมีจีอาเป็นสีสันให้กับพวกเรา ทุกคนจึงผ่อนคลายและเข้าหากันมากขึ้น
“ไม่ได้สิ” เจดี้ท้วงทันที ซึ่งก่อนหน้านี้่จีอาก็แย้งผมมาแล้ว ถ้าผมไปที่นั่นเมื่อไหร่ พวกมันเอาผมตายแน่
“ไม่ต้องกลัว พี่จะกลับมาอย่างแน่นอน” ผมกล่าว เพราะในตอนนี้ไม่ว่าจะมองยังไงพวกเราก็ได้เปรียบกว่า 80%
“แล้วพี่จะไปเสี่ยงชีวิตทำไม เราเหลือกันอยู่สามคนแล้วนะพี่เจเค” เจดี้กล่าว ประมาณว่ายังไงก็ไม่ยอมให้ผมไป
“ถ้าพี่ไปเจดี้ก็ไปด้วยเอาดิ” เจดี้กล่าวและมันทำให้ผมยิ้มออกมา
“อย่าลืมว่าอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่างยังคงอยู่ที่พี่”
“อย่างที่พี่บอก เจดี้กับเจบีไปใช้ชีวิตให้สนุกก็พอแล้ว”
“กับเรื่องแบบนี้มันไม่สามารถเอาชีวิตพี่ได้หรอก” ผมกล่าว ทำให้เจดี้กำหมัดแน่น
“แต่พี่ก็อยากจะขอให้เจดี้ดูแลเจบีดีๆ”
“และสิ่งที่พี่สอนการคุมคนไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา”
“ลองสั่งพวกเขาดู- ไม่สิ ลองชี้นำพวกเขาดู” ผมกล่าว เพราะจะพูดว่าสั่งก็คงไม่ได้ เพราะคนของผมจะรับคำสั่งโดยตรงจากผมเท่านั้น
“ทุกๆอย่างของเรายังอยู่ในประเทศไทย”
“ไปสำรวจ ดูงาน และหาโอกาสพัฒนาสิ่งพวกนั้นแทนพี่” ผมกล่าว เพราะนี่คือสิ่งที่เจดี้ต้องการ ผมก็เลยยอมให้เจดี้ไปทำอะไรสนุกๆระหว่างที่ผมไปจัดการธุระ
“แต่…” และดูเหมือนเจดี้จะตอบรับเมื่อผมมอบข้อเสนอที่เธอต้องการ แต่เธอก็ยังเป็นห่วงผมอยู่ดี
“ถ้าทำไม่ได้ก็ลืมที่พี่พูดไปเถอะ” ผมกล่าวตัดพ้อเมื่อเจดี้ยังไม่ยอม ต่างจากผมที่ยอมถอยมาก้าวนึงแล้ว
“ไม่ เจดี้จะทำ แต่พี่ก็ต้องสัญญามาด้วย”
“ต้องกลับมาให้ครบ 32 และเราต้องติดต่อกันตลอดที่พี่ว่าง” เจดี้กล่าว ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบรับ
“พี่เจเค ตอบตกลงดีๆ” เจดี้กล่าวเมื่อผมไม่ได้กล่าวออกมา
“พี่จะกลับมา" ผมกล่าวให้เจดี้สบายใจ ส่วนจะครบ 32 หรือเปล่าอันนี้ก็ยังไม่แน่ เพราะอีกฝ่ายเองก็มีอิทธิพลสุดๆ มีกำลังพลเยอะมากๆ ผมไม่รู้ว่าถ้าผมลงจากเครื่องบินแล้วผมจะเจออะไรเลยหรือเปล่่า
แต่ไม่ว่ายังไงผมคิดว่าเราควรจบสงครามนี้กันได้แล้ว ส่วนจะจบยังไงก็เดี๋ยวไปดูกัน
“เจบีมาหาพี่หน่อย” ผมกล่าวทำให้เจบีลุกจากที่นั่งและเดินตรงมาหาผม ที่จริงผมมองว่าอนาคตของเจบีนั้นไปไกลมากในเรื่องวิทยาศาสตร์ เพราะไม่ว่าจะใครคนไหนก็ต่างกล่าวว่าเขาเป็นเด็กอัจฉริยะ เขาศึกษา และเรียนรู้จนสร้างโรบอทได้ด้วยตัวเองด้วยวัยเพียงแค่นี้
“สัญญากับพี่ได้ไหมว่าจะไม่ปล่อยให้เจดี้เป็นอันตราย” ผมกล่าว เพราะถึงยังไงเจบีก็เป็นผู้ชาย ไม่ว่าเขาจะอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง แต่ถ้าเขามีพลังใจ ยังไงเขาก็จะใช้ความคิดหาหนทางช่วยพี่สาวได้อย่างแน่นอน
“สัญญาครับ” เจบีกล่าวด้วยท่าทางกลัวๆก่อนที่ผมจะยกร่างของน้องชายตัวเล็กมาวางบนตักตัวเอง
“เหมือนพ่อลูกเลยอ่ะ” จีอากล่าวทำให้ผมหันไปมองจิกเธอเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาสนใจเจบี
“นี่คือแหวนประจำตระกูลของเรา”
“พี่จะมอบให้เจบีนะ”
“รักษาเท่าชีวิตเลย” ผมกล่าวก่อนจะมอบแหวนที่ผมเคยให้กับเจดี้ ตอนนี้ผมก็ได้มอบแหวนให้กับน้องชายคนเล็กแล้ว ไม่ว่าใครในประเทศไทยเจอเขา ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเขามีความสัมพันธ์กับเจเคคนนี้ เพราะตัวผมเองก็สวมใส่มันตลอดไม่ว่าจะไปให้สัมภาษณ์หรือพูดคุยที่ไหน และก็มีคนถามผมมากมายเลยทีเดียวเกี่ยวกับแหวนนี้
“เดี๋ยวสิพี่เจเค มันจะเร็วไปไหม?” เจดี้กล่าว เพราะกว่าเธอจะได้แหวนวงนี้มันก็ยากลำบากสะเหลือเกิน
“ไม่เร็วไปหรอก และแหวนวงนี้จะช่วยปกป้องพวกเธอด้วย”
“ผู้คนจะให้ความสนใจกับมันเป็นพิเศษ”
“และจะมีแต่คนช่วยเหลือมากกว่าคนที่คิดจะปองร้าย” ผมกล่าว เพราะทุกคนในประเทศต่างจดจำกันแล้วว่าผมทำอะไรให้กับประเทศนี้บ้าง และมันจะส่งผลดีกับครอบครัวของผมไปตลอดกาล ยิ่งเจบีที่เป็นเด็กอัจฉริยะจะได้รับการสนับสนุนมากมายเลยด้วย
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พี่ไปลอนดอนแล้วนะ” ผมกล่าวเมื่อจัดการธุระทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
“พี่จะพาใครไปบ้าง?” เจดี้กล่าวถาม
“พี่จะไปด้วยข้ออ้างว่าร่วมสร้างธุรกิจกับในบริษัทของอเมริกากับจิมมี่”
“และพี่จะพาฮิวกับแมวไปด้วย” ผมกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าเลขาทั้งหมดก็ยืนอยู่ในห้องรับประทานอาหารนี้ และพวกเขายินดีมากที่จะตามผมไป
“ถ้าอย่างนั้นเจดี้ก็ขอให้พวกพี่กลับมาอย่างปลอดภัยค่ะ” เจดี้กล่าวและหันไปมองคนที่ผมกว่าวว่าจะพาไปด้วย
“ขอบคุณครับ/ค่ะคุณหนู” พวกเขาตอบกลับมาและหลังจากนั้นเราก็ทานข้าวกันไปจนหมด
สองวันผ่านไป
การเดินทางก็ไม่มีอะไรมาก ถึงแม้จะมีการเตือนจากพวกรัฐบาลด้วยความเป็นห่วง แต่ทุกคนก็เข้าใจสถานการณ์ดี มันควรจะจบได้แล้ว รวมถึงยังมีสื่ออีกจำนวนมากที่มาส่งผมที่สนามบินราวกับผมเป็นดารากันเลยทีเดียว
ณ ลอนดอน
“อืม…” และเมื่อผมลงมาจากเครื่องบิน เดินมาที่เกต สภาพก็ไม่ค่อยต่างจากประเทศไทย มีนักข่าวและผู้คนมากมายมายืนรอการมาของผม เพราะไม่ว่าผมจะเดินทางไปที่ไหนในประเทศไทยก็มักมีข่าวเสมอว่าต่อมาที่นั่นก็พัฒนาอย่างดี และการมาของผมในครั้งนี้ก็คือมาเจรจาเรื่องธุรกิจ ซึ่งอาจจะทำให้อเมริกาของพวกเขามีอะไรที่ดีขึ้นไปอีก
“ท่านเจเค…” ฮิวกล่าวเมื่อสัมผัสได้ถึงการถูกจ้องมองและจิตสังหารจำนวนมากที่แฝงอยู่ในฝูงชน
'แม่งจะล่อกันใจสนามบินเลยเหรอวะ?" ผมคิดในใจ แต่สุดท้ายก็มีคนจากรัฐบาลสหรัฐจำนวนมากเดินเข้ามาในเกตและช่วยดูแลพวกเขาขึ้นรถตู้ไป ทำให้นักฆ่าพวกนั้นแสดงสีหน้าไม่พอใจกันออกมา เดาว่านอกจากจะมีการจ้างกลุ่มนักฆ่าแล้ว อาจจะมีการตั้งค่าหัวพวกเราเอาไว้ด้วย
“เดี๋ยวเราจะพาไปที่ปลอดภัยเองครับไม่ต้องกังวล” คนที่นั่งตรงข้ามผมในรถตู้กล่าว ซึ่งเขาก็ได้แสดงบัตร FBI ออกมา เดาว่าพวกเขาเองก็พอจะรู้สถานการณ์ที่เราเจออยู่ตอนนี้
“แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้นนะ” ฮิวกล่าวเมื่อลองเปิดผ้าม่านรถตู้ดู ปรากฏมีรถคันสีดำตามเรามากมายออกมาจากสนามบิน
ฟึบๆๆๆ
“นั่นใช่ฮอของคุณหรือเปล่า?” ผมกล่าวถามเมื่อได้ยินเสียงใบพัดจากแฮลีคอปเตอร์
“สภาวะฉุกเฉิน เรียกหน่วยปฏิบัติการพิเศษโดยด่วน!” แต่แทนที่เขาจะตอบคำถามของเรา ชายคนนั้นกลับเปิดวอร์เรียกหน่วยเสริมทันที แถมยังเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษอีกด้วย
แสดงว่าฮอที่กำลังบินอยู่เหนือรถเราตอนนี้ไม่ใช่ของรัฐบาล แต่เป็นของพวกโรส พวกเขาจะเล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า? งั้นในอีกไม่ช้า ถ้าพวกเขาจะลงสุดตัวขนาดนี้เราคงจะได้เห็นทัพนักฆ่าของพวกมัน
บรื้นนน
และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ รถมากกว่าสิบคันพยายามล้อมรอบขบวนรถของรัฐบาลและเริ่มเข้าประชิด หนีบรถของเรา และพาเราแยกทางไปที่อื่น ลงสะพานไป และไปใต้สะพานที่มีคนอยู่น้อยก่อนจะเริ่มเปิดฉากยิงล้อรถของเรา
“ไม่ต้องห่วงนะครับหน่วยปฏิบัติการพิเศษกำลังจะมาถึงในอีกห้านาที” ชายคนนั้นกล่าวก่อนจะหยิบปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
“เอามาให้ผม” ผมกล่าวและคว้าปืนนั่นมา แต่เขาก็พยายามขัดขืนผมจึงใช้ปืนตบคางสลบไป
“เอาปืนมาให้พวกผมเดี๋ยวนี้!” ผมกล่าวเมื่อพวกมันพยายามยิงรถที่เราอยู่ แต่ยังดีที่รถของเรามันกันกระสุน และทันทีที่ผมตวาดออกไป มันทำให้คนขับรถและลูกน้องของเขามอบปืนพกให้กับฮิวและจิมมี่ทันที
ปังๆๆๆๆ
แต่แล้วข้างนอกก็เกิดการปะทะขึ้น โดยมีคนที่ผมรู้จักกำลังยิงสู้กับพวกมันอย่างดุเดือด ทำให้จากตอนแรกที่เราโดนล้อม เป็นพวกมันที่โดนล้อมกันซะแทน
“เอ็กเซล” ผมกล่าวชื่อของคนคนนั้น ซึ่งเขาก็พาลูกน้องมาด้วย ผมจึงไม่รอช้าเปิดประตูรถออกไปในขณะที่พวกมันหันไปสนใจเอ็กเซลและยิงสวนพวกมันดับไปสามคน
“รวมกลุ่ม!” เอ็กเซลกล่าวเมื่อบริเวณพื้นล่างถูกเคลียร์ แต่ก็ยังคงมีรถขับมาอีกนับสิบคัน รวมถึงฮอที่บินมาเติมอีกลำนึง จนกระทั่งลำแรกได้ยิงปืนกลลงมาใส่พวกเรา
“แม่งจะฆ่ากันอย่างเดียวเลย" ผมกล่าวพร้อมกับวิ่งไปหลบหลังกำแพง แต่กระสุนนี่มันก็แรงเกินไปถึงขนาดยิงทับซ้อนกันทำลายกำแพงได้เลยทีเดียว
ฟุบ
เพล้ง
ฟับๆๆ ตู้ม
และในช่วงเวลาวิฤติ ก็มีสไนเปอร์จากระยะไกลยิงคนขับฮอช่วยผม ทำให้ฮอลำนั้นตกลงไปบนถนนจนถนนพังทลายลงมาเลยทีเดียว
“ฆ่าแม่งให้หมด” ผมกล่าวอย่างเด็ดขาดก่อนจะยิงคนที่ตกลงมาจากฮอจนร่างของมันแน่นิ่งไป ส่วนพวกเอ็กเซลก็กำลังรับมือกับพวกมือสังหารที่เพิ่งมาใหม่ และเพื่อไม่ให้เราถูกล้อมอีกครั้ง เอ็กเซลจึงสั่งการให้เรากระจายตัวไว้ทันที ซึ่งแน่นอนว่าลูกน้องของเอ็กเซลแต่ละคนเป็นบุลคลที่ฝีมือดีที่สุดในองค์กร มิฉะนั้นพวกเขาไม่สามารถรอดมาได้ถึงตอนนี้หรอก ถึงจะมีการสูญเสียไปบ้างก็ตาม
