บทที่ 7
ฤดูร้อนปีที่ 362 ของแคว้นต้าหลิง ทางใต้ประสบภัยแล้งมาสามปี ไม่อาจเก็บเกี่ยวพืชผลได้ ผู้ประสบภัยจำนวนมากถูกทหารแคว้นว่อหลัวที่อยู่ทางใต้ ขับไล่ให้ขึ้นมาทางเหนือตลอดทาง โจมตีเมือง และสุดท้ายก็ยึดครองดินแดนของแคว้นต้าหลิง ทั้งปล้นฆ่าเผาทำลาย ทำแต่เรื่องเลวร้าย ทุกที่ที่เดินทางผ่าน ไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าหลงเหลืออยู่
และสามีที่ยังไม่เคยพบหน้ากันผู้นั้นของนาง ก็ตายในสนามรบเมืองฉิ่นโจวที่อยู่ห่างจากที่นี่ออกไปเพียงแค่สองคูเมือง
ตอนนี้ผ่านมาหกวันแล้วตั้งแต่ที่ฉินจิงตายในสนามรบ ฉิ่นโจวต้องถูกบุกโจมตีเขามาแล้วแน่นอน และเป้าหมายต่อไปก็คือฉู่โจว หรือพูดอีกอย่างก็คือ ทัพใหญ่ของแคว้นว่อหลัวกำลังจะบุกโจมตีเข้ามาแล้ว!
คราวนี้ กวนหลันนอนไม่หลับแล้วจริง ๆ!
หนี! ต้องเตรียมตัวหลบหนีตอนนี้เลย!
ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากอีก นางลุกขึ้นมา หยิบถุงผ้าเล็ก ๆ ออกมาจากรอยแตกบนกำแพงด้านหลังเตียงนอน ในนั้นห่อตัวเงินมูลค่าสองร้อยตำลึง กับเศษเหรียญอีกยี่สิบกว่าตำลึงเอาไว้ นี่ก็คือเงินเก็บทั้งหมดของครอบครัวนี้แล้ว
จะหนีไปแบบไร้จุดหมายไม่ได้ พรุ่งนี้นางจะเข้าเมือง เอาตัวเงินไปแลกเป็นเงินสด
กวนหลันปาดเหงื่อบนหน้าผาก เงยหน้าขึ้นมองไปด้านนอก
ท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างแล้ว จากหมู่บ้านเข้าไปในเมืองต้องใช้เวลาเดินหนึ่งชั่วยาม นางจะต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ เพื่อต่อแถวแลกเงินที่หอเงิน
“แม่เลี้ยง ท่านกำลังทำอะไร?”
ไม่มีคนจากยุคปัจจุบันคนไหน ที่จะไม่รู้สึกกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการสู้รบของยุคอดีต! เมื่อกวนหลันได้ยินเสียงก็หันหน้ากลับไป ในแววตายังแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย เมื่อหันกลับไปก็เห็นฉู่หลิงเอ๋อร์กำลังกอดตุ๊กตากระต่ายขาด ๆ กำลังยืนขยี้ตาอย่างงัวเงียอยู่ตรงประตู นางรีบเดินตรงไปข้างหน้า แล้วคว้าแขนของเด็กน้อยไว้ น้ำเสียงที่ฟังดูเคร่งเครียดสั่นเครือเล็กน้อย
“หลิงเอ๋อร์ เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว!”
นางจ้องมองจนหลิงเอ๋อร์ตื่นตกใจตาโตขึ้นมาทันที แต่ละคำแต่ละประโยคที่พูดออกมาทั้งเร็วและจริงจัง “ทหารของแคว้นว่อหลัวบุกเข้ามาในฉิ่นโจวแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือฉู่โจวของเรา! ไม่เกินสามวัน พวกเขาก็จะยกทัพมาถึงที่หมู่บ้าน ถึงตอนนั้น......ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะไม่มีใครรอดไปได้!”
ตุ๊กตากระต่ายของหลิงเอ๋อร์ หล่น “ตุ้บ” ลงบนพื้นทันที ใบหน้าเล็ก ๆ ซีดเผือดลงในทันใด ริมฝีปากขยับขึ้นลง : “ท่านแม่......เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี?”
“ไม่ต้องกลัว” กวนหลันหยิบตุ๊กตาขึ้นมาแล้วสอดเข้าไปในอ้อมแขนของหลิงเอ๋อร์ จากนั้นก็ผลักนางกลับเข้าไปในห้อง “ตอนนี้เจ้าไปเรียกพี่ของเจ้า บอกให้เขาตื่นขึ้นมาได้แล้ว! บอกเขาว่า พอตากเครื่องนอกเสร็จก็ให้ม้วนบรรจุลงห่อสัมภาระ! แล้วให้เขาไปขุดผักป่าที่หลังเขา ยิ่งมากยิ่งดี ——ขุดได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น ระหว่างทางจะเอาชีวิตรอดไปได้หรือไม่ ล้วนต้องพึ่งพาผักป่าพวกนี้แล้ว!”
นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดึงหลิงเอ๋อร์ที่กำลังจะวิ่งไปไว้ แล้วนำเศษเงินที่อยู่ในอกเสื้อ ออกมายัดใส่มือของเด็กน้อย : “แล้วก็ ให้พี่ชายเจ้านำแป้งสาลีที่เหลืออยู่ในบ้าน เอาไปผสมกับผักป่า ทำเป็นขนมเปี๊ยะผักป่า ไม่ต้องสนใจว่าอร่อยหรือไม่ แค่กินอิ่มท้องได้ก็พอแล้ว! ข้าต้องเข้าเมืองเดี๋ยวนี้ ไปหอเงินเพื่อเอาตั๋วเงินแลกเป็นเงินสด แล้วค่อยไปซื้อเสบียงที่ร้านขายข้าวสารอาหารแห้ง หากช้าไปแม้แต่ก้าวเดียว จะไม่ทันการณ์แล้ว!”
แสงอาทิตย์สาดส่องหน้าต่างเข้ามาในห้องครัวแล้ว ทำให้กวนหลันเหงื่อกาฬไหลอาบหน้าผาก นางลูบหัวของหลิงเอ๋อร์ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหนักแน่นอย่างไร้ข้อกังขา : “พวกเจ้าอยู่บ้านปิดประตูให้มิดชิด ห้ามออกไปเพ่นพ่านข้างนอก! พวกเจ้าจงรอข้า พวกเราจะหนีไปด้วยกันทั้งครองครัว!”
หลิงเอ๋อร์กำเศษเงินไว้ พยักหน้าหงึกหงัก น้ำตาคลออยู่ในดวงตาแต่ไม่กล้าปล่อยให้ไหลรินลงมา จากนั้นก็หันหลังแล้ววิ่งตรงไปที่ห้องของฉู่ซิว รองเท้าคู่เล็ก ๆ ส่งเสียงวิ่งอย่างเร่งรีบบนพื้นดัง “ตึก ๆ ๆ ”
กวนหลังมองดูแผ่นหลังของเด็กน้อย สูดหายใจเข้าเต็มปอด คว้าห่อผ้าที่อยู่บนเตาสอดเข้าไปในหน้าอก ท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว แต่นางรู้ดีว่า ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สงบเงียบนี้ แฝงไปด้วยไฟสงครามที่พร้อมจะกลืนกินทุกอย่างได้ทุกเมื่อ นางต้องหนี ต้องเร่งมือเข้าแล้ว!
