บทที่ 1: พี่สะใภ้คนงาม[2]
แต่จะสนิทสนมกันอย่างไรก็หาใช่เรื่องของนาง นายหญิงแห่งจวนผู้ตรวจการเมืองปรือตาลงเล็กน้อยด้วยยังงัวเงียอยู่ ก่อนจะโบกมือไหวน้อยๆ
“ตามสบายเถิด ไม่ต้องมากพิธี”
น้ำเสียงของนางแหบพร่าราวกับคนไม่สบาย หลินซานซานอดชะงักไม่ได้ พลันก็นึกเป็นห่วง
“ข้าไม่แน่ใจว่าที่ชายแดนนั้นมีอากาศเป็นอย่างไร แต่ที่เมืองหลวงบางคราก็อากาศร้อน บางคราก็หนาว วันดีคืนดีก็ฝนตก อากาศแปรปรวนเช่นนี้ พี่สะใภ้อาจจะยังไม่คุ้นชินอากาศที่นี่สักเท่าไร ควรสวมเสื้อผ้าหนาๆ จะได้ช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บไข้นะเจ้าคะ”
คำพูดของหลินซานซานทำเอาคนที่เกือบจะอ้าปากหาวหวอดชะงักกึก เหลือบมองอีกฝ่ายนิ่ง ขณะที่คนพูดหลุบตาลงต่ำ หนีสายตาคมจากนัยน์ตาเรียวสวยด้วยมิอาจทนมองหน้าได้ไหว ใช่ว่าทนไม่ไหวเพราะนางเป็นฮูหยินของคนที่นางรัก แต่เป็นเพราะสะคราญโฉมเกินไปจนมิอาจสู้หน้าตรงๆ ได้ไหว เห็นหน้าอีกฝ่ายแล้ว นางก็อดอับอายที่มิอาจสู้ความงามของคนตรงหน้าได้
“ลำบากให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”
พี่สะใภ้เอ่ยขึ้น หลินซานซานเหลือบมอง ในหัวครุ่นคิดว่าขนาดอีกฝ่ายไม่ยกยิ้มใดๆ ยังงดงามถึงเพียงนี้ หากยิ้มขึ้นมาเมื่อไรคงสะกดผู้คนทั้งโลกให้หลงใหลได้ไม่ยาก แม้แต่หลินจิ้นฝูเองก็คงจะต้องหลงใหลนางเช่นกัน
ในตอนนี้อาจจะยัง แต่ในเบื้องหน้าก็ไม่แน่ อยู่ร่วมชายคา พบหน้ากันทุกวัน ถึงนางจะไม่ใช่หญิงคนรักแต่ก็เป็นน้องสาวของสตรีผู้นั้น รูปร่างหน้าตาย่อมมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกัน หลินจิ้นฝูทำใจได้เมื่อไรคงมิแคล้วหลงใหลนางเป็นแน่
หลินจิ้นฝูหลงใหลนาง...
คิดอย่างนี้ หลินซานซานก็ปวดแปลบขึ้นมาในอก น้ำตาเกือบจะหลั่งรินอยู่แล้วถ้าหากว่าคนตรงหน้าไม่เอ่ยขึ้นมาก่อน
“ธุระที่เจ้าต้องการพูดกับข้ามีเท่านี้หรือ”
หลินซานซานเลิกคิ้วสูง ไม่เข้าใจที่คนตรงหน้าพูดสักเท่าไรนัก ขณะที่อีกฝ่ายมองนางนิ่ง
“หากไร้ซึ่งสิ่งที่จะพูดแล้ว เจ้าก็ตามสบายเถิด ข้าจะกลับไปนอน”
สิ้นเสียงก็หมุนตัว หมายจะเดินออกไปจากเรือนรับรอง ทำเอาหลินซานซานอ้าปากค้างไปทันควัน
ป่านนี้แล้วยังจะกลับไปนอนอีกหรือ!?
เรื่องอะไรที่นางจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายไปนอนกันเล่า เป็นถึงฮูหยินของหลินจิ้นฝู ไยถึงได้ขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างนี้กัน ใช้ได้ที่ไหน!
“ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะพี่สะใภ้” หลินซานซานรีบก้าวตามหลังไป เมื่อคนตรงหน้าหยุดฝีเท้าแล้วหันมามอง นางก็รีบพูดขึ้น “ข้าใคร่อยากจะชวนพี่สะใภ้ดื่มน้ำชายามบ่ายเสียหน่อย ตั้งแต่พี่สะใภ้แต่งเข้าสกุลหลินมา ข้ายังไม่เคยพูดคุยกับท่านอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย ข้าหมายจะผูกสัมพันธ์กับท่านให้แนบแน่นยิ่งนัก”
พูดแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง ไม่ได้เต็มใจหรอกแต่คิดว่ามันน่าจะทำให้คนมองเอ็นดูได้ เพราะรอยยิ้มของนางล้วนใช้ได้ผลมาแล้วกับท่านลุงท่านป้า รวมถึงหลินจิ้นฝูและบ่าวไพร่ในเรือน
ทว่าคงไม่ใช่กับพี่สะใภ้ อีกฝ่ายมองนางที่ยิ้มแป้นแล้นด้วยสายตาราบเรียบยากจะอ่าน ใจนึกอยากจะปฏิเสธนัก แต่ก็มิอาจพูดได้เมื่อนางช้อนสายตาเว้าวอน
“นะเจ้าคะ อาจิ้นจะได้สบายใจด้วยที่เห็นเราสองคนสนิทสนมกัน”
คนถูกคะยั้นคะยอหรี่ตาลงเล็กน้อย
ที่แท้ที่อยากจะสนิทสนมเป็นเพราะบุรุษผู้นั้น หาได้อยากจะสนิทสนมกับพี่สะใภ้จากใจจริง
สิ่งนี้ไยพี่สะใภ้ของนางจะไม่รู้ ประกายในดวงตากลมโตนั้นเผยความนัยออกมาให้เห็นชัดแจ้งแล้วว่านางมีใจปฏิพัทธ์กับญาติผู้พี่ แต่ก็เอาเถิด นางจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่ได้เกี่ยวกับตนสักหน่อย
“เช่นนั้นก็ไปที่ศาลาตรงสระบัวเถิด พ่อบ้าน เจ้าไปเตรียมขนมกับน้ำชามาด้วย”
นายหญิงของจวนออกปากสั่ง พ่อบ้านรับคำ ก่อนจางอี้ซวนจะเดินนำไปยังศาลาข้างสระบัวที่อยู่กลางจวน ปล่อยให้หลินซานซานเดินตามพลางพินิจรูปร่างของพี่สะใภ้ไปด้วย
นางเป็นสตรีที่สูงโปร่งราวกับบุรุษ เมื่อครั้งที่ยืนอยู่ข้างหลินจิ้นฝู มองเผินๆ แล้วอาจจะสูงกว่าญาติผู้พี่เล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ และเมื่อเทียบกับความสูงของหลินซานซานแล้ว นางสูงเพียงหัวไหล่ของพี่สะใภ้เอง
ช่างเป็นสตรีที่สูงอะไรถึงเพียงนี้...
พินิจเรือนร่างนางอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องหยุดเมื่อมาถึงยังศาลา พี่สะใภ้เดินนำเข้าไปนั่ง ไม่นานพ่อบ้านก็ให้บ่าวรับใช้ยกขนมและน้ำชามาให้ ก่อนที่จะปล่อยให้ทั้งสองได้ร่วมเสวนากันตามลำพัง
แต่คงมีเพียงแต่หลินซานซานเท่านั้นที่ใคร่อยากจะสนทนาด้วย เพราะพี่สะใภ้ของนางเอาแต่นั่งนิ่ง ปิดเปลือกตาลงราวกับหลับใหลตั้งแต่ที่เข้ามานั่งได้ ปล่อยให้หลินซานซานเหลือบมองเป็นระยะ
นางช่างเป็นสตรีที่อยู่ด้วยยากยิ่ง เพียงเห็นหน้าก็ชวนให้อึดอัด ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งอึดอัด ต่อให้นางงดงามเพียงใด แต่หากอยู่ด้วยแล้วน่าอึดอัดเช่นนี้ มีหวังอาจิ้นคงจะลำบากใจ
หลินซานซานคิดเองเออเองอีกแล้ว ก่อนจะเปิดปากทำลายความเงียบ
“พี่สะใภ้เจ้าคะ”
คนถูกเรียกเลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ลืมตาขึ้น
“ขนมโก๋นี่อร่อยนะเจ้าคะ ท่านลองชิมดูสิ”
คราวนี้ยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง แต่ทว่า...
“เจ้ากินไปเถิด”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดื่มน้ำชาสักหน่อย ท่านเพิ่งตื่นได้ไม่นาน ร่างกายคงจะขาดน้ำอยู่ไม่น้อย”
หลินซานซานกุลีกุจอรินน้ำชาลงถ้วยกระเบื้องเคลือบให้ ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดตนจะต้องเอาอกเอาใจพี่สะใภ้ด้วยก็ไม่รู้ คงเป็นเพราะนางคิดว่าหากสนิทสนมกับพี่สะใภ้แล้ว เมื่อนางต้องการให้อีกฝ่ายกระทำสิ่งใดให้แก่หลินจิ้นฝูก็คงจะง่ายยิ่ง
ทว่าคนตรงหน้ากลับตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“วางไว้ตรงนั้นล่ะ ข้าไม่กระหาย”
“แต่...”
จางอี้ซวนชิงหลับตาหนีไปเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูด หลินซานซานจึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ค้างไว้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อถูกอีกฝ่ายมองเมิน ยามนี้เองที่นางตระหนักได้แล้วว่าพี่สะใภ้นางเป็นสตรีอย่างไร
แม้จะมีดวงหน้าสะคราญโฉมและมีจริตงดงามสมเป็นกุลสตรีที่ดี แต่นั่นก็ล้วนเป็นเพียงเปลือกนอก แท้จริงเป็นสตรีเกียจคร้าน หยิ่งยโสและโอหัง กล้ามองไม่เห็นหัวญาติผู้น้องคนสนิทของสามีเช่นนี้ นับว่าไร้ซึ่งมารยาทและไม่ให้เกียรติสกุลหลินเลยแม้แต่น้อย
มือเล็กของหญิงสาวกำเข้าหากันแน่น นางชักไม่ชอบพี่สะใภ้ของตนเสียแล้ว ทว่าก็หาได้กระทำสิ่งใด ได้แต่นั่งเงียบอยู่ในศาลาตลอดบ่าย ขณะที่อีกฝ่ายนั่งหลับหลังตรง ไม่สนใจนางที่จับจ้องอย่างขุ่นเคืองสักนิด
ดื่มชายามบ่ายร่วมกับพี่สะใภ้ครั้งแรกนี้ ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก!
“ได้ยินว่าเมื่อบ่าย เจ้ากับอี้ซวนร่วมดื่มน้ำชากันหรือ”
เป็นคำถามของหลินจิ้นฝูที่ถามแก่ญาติผู้น้องเมื่อได้ร่วมมื้อเย็นกับนาง หลินซานซานพยักหน้า ก่อนที่ชายหนุ่มจะถามอีกครั้ง
“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินซานซานเหลือบมอง นางอยากจะบอกนักว่าช่างน่าหงุดหงิด เพราะนอกจากที่จางอี้ซวนจะพูดคุยกับนางชนิดถามคำตอบคำแล้ว ยังเอาแต่นั่งหลับตลอดบ่าย เมื่อได้ยินว่าสามีกลับมา นางก็ไม่ไปต้อนรับ เดินดุ่มๆ กลับเรือนราวกับไม่ใช่เรื่องของตน ปล่อยให้หลินซานซานต้อนรับญาติผู้พี่เพียงลำพัง
มิหนำซ้ำ หลินซานซานยังประจักษ์ในตอนนั้นว่าแท้จริงแล้ว จางอี้ซวนและญาติผู้พี่ของนางอาศัยแยกเรือนกัน หาได้ร่วมเรือนเดียวกันดั่งที่สามีภรรยาพึงกระทำแต่อย่างใด สิ่งนั้นน่าประหลาดไม่พอ ยังน่าบริภาษอีกด้วย หลินซานซานมีหลายสิ่งที่อยู่ในใจ อยากจะก่นว่าพี่สะใภ้ แต่สิ่งที่นางตอบกลับดันเป็น...
“เพลิดเพลินยิ่ง ข้าประทับใจนางมาก”
...โกหกคำโตเสียเลย เหตุเพราะไม่ต้องการให้หลินจิ้นฝูลำบากใจ
ได้ยินนางพูดเช่นนั้น ใบหน้าคร้ามครันของหลินจิ้นฝูก็มีรอยยิ้มประดับ
“ข้าดีใจยิ่งที่เจ้ามา อย่างน้อยก็ช่วยให้นางได้คลายความเหงาลงไปบ้าง ตั้งแต่นางมาที่นี่ วันๆ ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือน ไม่ค่อยได้พบหน้าข้านักหรอก เว้นเสียแต่ตอนเย็นที่นางมักจะออกมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย”
หลินซานซานแค่นยิ้ม นางมองสตรีผู้นั้นผิดไปแต่แรกจริงๆ อุตส่าห์นึกว่าเหมาะสมกับหลินจิ้นฝูราวคู่นกยวนยาง ที่ไหนได้...ไม่ได้เรื่อง!
แต่สิ่งที่หลินซานซานอยากจะพูดหาใช่เรื่องนั้น ได้ยินว่าทั้งสองห่างเหินกัน ไม่ค่อยได้พบปะเจอหน้า นางก็เกิดอยากรู้บางสิ่งขึ้นมา
“ข้าถามเจ้าสักอย่างหนึ่งได้ไหมอาจิ้น”
หลินจิ้นฝูพยักหน้าเป็นเชิงให้นางพูด
“เจ้ากับนางอยู่คนละเรือน มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยได้พบหน้า เป็นสามีภรรยากันแต่กลับมีความสัมพันธ์เช่นนี้ มิใช่ว่าท่านยังไม่ได้เข้าหอกับนางหรอกหรือ”
ถามไป ปลายประโยคก็ยิ่งแผ่วเบา อันที่จริงแล้วนางไม่ควรถามเรื่องนี้ แต่ก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจึงพลั้งปากออกไป
หลินจิ้นฝูหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “ยังหรอก”
หญิงสาวถึงกับเบิกตาโต “ได้อย่างไรกัน เจ้ากับนางเป็นสามีภรรยากันนะ ไยถึงยังไม่ได้เข้าหอกันอีก”
แสร้งถามไปอย่างนั้นล่ะ แต่ในใจของหลินซานซานกลับลิงโลด
บุรุษที่นางรัก...ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย นางอยากจะลุกขึ้นระบำขอบคุณสวรรค์เหลือเกิน!
หลินจิ้นฝูหัวเราะเฝื่อน ไม่ทันจะได้พูดอะไร ทั้งคู่ก็เหลือบไปเห็นจางอี้ซวนเดินออกมาจากเรือน ทอดสายตามองมายังโต๊ะในสวนซึ่งหลินจิ้นฝูและหลินซานซานนั่งกินข้าวเย็นกันอยู่ หลินจิ้นฝูแย้มยิ้มให้ฮูหยินตนเล็กน้อย ขณะที่จางอี้ซวนเองก็ทำเพียงค้อมศีรษะแล้วเดินจากไป ปล่อยให้สามีและญาติผู้น้องนั่งกินข้าวต่อโดยไม่สนใจกลับมามองอีก
หลินซานซานนิ่วหน้า พี่สะใภ้ของนางไม่ได้ความจริงๆ ด้วย สามีนั่งกินข้าวอยู่อย่างนี้ยังไม่รู้จักมาปรนนิบัติดูแล
ช่างเป็นคนที่เกียจคร้านอะไรอย่างนี้นะ!
“กินข้าวกันต่อเถิด”
หลินจิ้นฝูราวกับรู้ว่าคนข้างกายคิดอะไรจึงเบี่ยงความสนใจ หลินซานซานพยักหน้า แต่ก็อดที่จะพูดออกมาไม่ได้
“พี่สะใภ้ไม่สนใจเจ้าเช่นนี้ตลอดเลยหรือ ไม่ดูแลปรนนิบัติเจ้าในฐานะภรรยาเลยหรือ”
“เรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย ข้าไม่ถือสา แล้วเจ้าจะถือสาทำไม”
“แต่...”
“อี้ซวนเกิดและเติบโตที่ชายแดน นางจะแตกต่างจากสตรีในเมืองหลวงเช่นเจ้าก็หาได้แปลก”
หลินซานซานพูดอะไรไม่ออกเมื่อญาติผู้พี่เข้าข้างฮูหยินตน
ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องของนาง นางจะไม่สอด แต่เสียทีที่นางอุตส่าห์เป็นห่วง
ขุ่นใจจนเผลอมุ่ยหน้าออกมา ทำเอาหลินจิ้นฝูต้องเอาใจด้วยการคีบเนื้อผัดขิงใส่ถ้วยข้าวให้
“ระหว่างที่เจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าก็ช่วยเป็นเพื่อนคลายเหงาให้นางหน่อยแล้วกัน ถึงนางจะดูแข็งกระด้าง แต่ข้าก็เชื่อว่าสตรีย่อมไม่แตกต่างกัน ข้ากับนางคงจะไม่ได้คุยหรือพบกันบ่อยนัก คงต้องฝากให้เจ้าดูแลนางด้วย”
ฝากฝังนางเช่นนี้แล้ว หลินซานซานจะไปปฏิเสธอย่างไรได้ล่ะ ได้แต่ยกยิ้มตอบรับ
“อื้ม ข้าจะช่วยเจ้าดูแลนางเอง เจ้าก็รีบกินเถิด อาหารเย็นชืดหมดแล้ว”
สิ้นเสียงก็ลงมือกินอาหารกันต่อ พูดคุยสนทนาเรื่อยเปื่อยตามประสา ทั้งๆ ที่ในหัวนางมีหลายเรื่องประดังประเดเข้ามาไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะเรื่องพี่สะใภ้ผู้นั้นของนาง
ในเมื่อไม่ได้ตบแต่งเป็นฮูหยินของบุรุษที่นางรัก สิ่งที่นางทำได้ก็คือทำดีกับฮูหยินของเขาให้มากเท่าที่นางจะทำได้ล่ะสินะ
นอกจากหลินจิ้นฝูแล้ว ผู้ที่มีวาสนาน่าอนาถไม่ต่างกันก็คือนางนี่ล่ะ
วาสนาของเจ้าช่างอดสูอะไรถึงเพียงนี้นะ ซานเอ๋อร์...
