บทที่ 1: พี่สะใภ้คนงาม[1]
งานมงคลสมรสของบุตรชายเสนาบดีฝ่ายซ้ายสกุลหลินและธิดาของแม่ทัพใหญ่สกุลจางผ่านไปได้หลายวันแล้ว แต่หลินซานซานก็ยังทำใจไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่านางจะภาวนาขอให้หลินจิ้นฝูมีความสุข ปรารถนาที่จะให้พี่สะใภ้ดูแลคนที่นางรักให้ดี แต่เมื่อญาติผู้พี่ย้ายออกไปอยู่ยังจวนของตนที่ผู้เป็นบิดาได้มอบให้เป็นของขวัญแต่งงาน นางก็ได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวันทั้งคืน ไม่ออกมาพบปะผู้คน สงบปากสงบคำเสียจนเป็นที่น่าเป็นห่วงต่อเสนาบดีหลินและฮูหยินซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงและป้าสะใภ้เป็นอย่างมาก
นางเป็นเด็กกำพร้า เสียบิดามารดาไปตั้งแต่ยังเล็กด้วยอุบัติเหตุขณะเดินทางไปเยี่ยมญาติยังต่างเมือง เสนาบดีหลินไปรับมาดูแลก็ย่อมต้องรักประหนึ่งลูกในไส้ เห็นนางเอาแต่ซึมเศร้าเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะชวนฮูหยินเทียวไปหานางที่เรือน เอาอกเอาใจสารพัด แต่ก็หาเรียกรอยยิ้มของนางได้เลย
ทั้งที่นางเป็นดรุณีน้อยแสนสดใสแท้ๆ นางหาใช่คนยิ้มยาก ปกติจะต้องได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของนางทั้งวี่ทั้งวัน นางเอาแต่เงียบเช่นนี้ น่าเป็นห่วงว่าอาจจะป่วยทางใจ
ย่อมแน่ว่าทั้งสองรู้ดีว่าหลินซานซานคิดอย่างไรกับหลินจิ้นฝู หากไม่มีสมรสพระราชทาน หลินจิ้นฝูก็คงไม่แคล้วตบแต่งกับนางนี่ล่ะ แต่ในเมื่อรับราชโองการไปแล้ว จะให้นางตบแต่งเป็นอนุก็ดูไม่ดี เป็นถึงลูกหลานของเสนาบดี ตบแต่งไปเป็นภรรยาเอกให้คุณชายสกุลอื่นที่ยศศักดิ์ชาติตระกูลเท่าเทียมกันยังนับว่ามีเกียรติยิ่งกว่า ยามนี้นางก็อายุสิบแปดแล้ว เรียกได้ว่าเลยวัยออกเรือนมามาก แต่ในเมื่อนางบอกว่ายังไม่อยากแต่ง พวกเขาก็ไม่บังคับเพราะรู้ว่าที่นางไม่อยากแต่งเป็นเพราะจะรอหลินจิ้นฝู คงจะกล่าวได้ว่าตามใจนางจนเสียคนแล้วกระมัง
แต่ถึงครั้งนี้หากจู่ๆ นางมาบอกว่าอยากตบแต่งขึ้นมา พวกเขาก็จะยังไม่รับปากใดๆ ด้วยเกรงว่าหากตอบรับคำไปแล้วนางบอกขึ้นมาอีกว่าอยากตบแต่งเป็นอนุของหลินจิ้นฝู เป็นเช่นนั้นคงได้มีเรื่องปวดหัว ต่างจึงพากันไม่พูดถึงเรื่องแต่งงานของนางเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสีย ตอนนี้ทำให้นางยอมออกมาจากเรือนย่อมเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
หลินซานซานไม่ออกมาจากห้องจวบจนเข้าอาทิตย์ที่สองแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสองอดรนทนไม่ไหว พากันมาหาหลานสาวคนเดียวถึงที่เรือนอีกครั้ง หมายมั่นปั้นมือว่าไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็จะเอานางออกจากห้องให้จงได้
บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตั้งท่าจะไปเรียนคุณหนูให้ทราบว่าผู้ใดมาหาอย่างเช่นทุกที ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเสนาบดีหลินยกมือห้ามเอาไว้ ครั้นบ่าวรับใช้ถอยออกห่าง เขาก็ยกมือขึ้นเคาะที่ประตูสองสามครั้ง
“มีสิ่งใด”
เสียงใสร้องถามออกมาด้วยนึกว่าบ่าว ทว่าเมื่อไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ หลินซานซานก็ร้องถามมาอีก
“ข้าถามว่ามีสิ่งใด”
ถึงน้ำเสียงจะราบเรียบแต่ก็เจือไปด้วยความรำคาญใจ เสนาบดีหลินเหลือบมองหน้าฮูหยินของตนเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ เขาก็ผลักประตูเข้าไปโดยไม่รอให้คนด้านมาเปิด
หลินซานซานที่หมายจะลุกมาเอ็ดบ่าวรับใช้ที่กวนใจนางถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเรียกนางนั้นหาใช่คนที่นางคิด พอเห็นว่าเป็นใคร นางก็ย่อตัวคำนับนอบน้อม
“ท่านลุง ท่านป้า... มาหาซานเอ๋อร์เช่นนี้มีสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
ย่อมแน่ว่ามีธุระ ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสทั้งสองจะมาหานางพร้อมหน้าเช่นนี้หรือ
“ซานเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงไม่ออกไปนอกห้องบ้าง อาทิตย์ที่สองแล้ว เจ้าก็ยังเอาแต่เก็บตัวอยู่ในนี้ มิอุดอู้หรืออย่างไร”
เสนาบดีหลินเอ่ยถาม หลินซานซานเหลือบมองใบหน้าที่ผ่านโลกมาถึงวัยกลางคน ก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำ
“ระยะนี้ซานเอ๋อร์ไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ”
ไยคนฟังทั้งสองจะไม่รู้กันว่าดรุณีน้อยตรงหน้านั้นโกหกคำโต เสนาบดีหลินเหลือบมองฮูหยินของตนอีกครา เป็นสัญญาณให้นางทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่นางจะตรงเข้าไปหาหลินซานซาน จับมือแล้วว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หากเจ้าไม่สบายก็บอกท่านลุงของเจ้าสิ เก็บตัวอยู่แต่ผู้เดียวทำไม เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้ากับท่านลุงของเจ้าเป็นห่วงนะ”
“ซานเอ๋อร์ขออภัยที่ทำให้ท่านลุงกับท่านป้าเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
นางตอบเสียงแผ่ว คนฟังทั้งสองไยจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางป่วยใจ หาได้ป่วยกาย เรื่องที่หลินซานซานมีใจให้กับบุตรชายเพียงคนเดียวของพวกเขานั้น เขาก็เห็นใจนางอยู่หรอก แต่ในเมื่อหลินจิ้นฝูไม่เคยมีใจก็ไม่อยากบังคับ ตอนนี้ยิ่งบังคับไม่ได้ใหญ่ เขาตบแต่งฮูหยินไปแล้ว หากตบแต่งหลินซานซานด้วยอีกคนก็เท่ากับว่านางเป็นอนุ แล้วจะให้หลานสาวคนเดียวของเสนาบดีมีศักดิ์เป็นเพียงอนุได้อย่างไร
ในเมื่อผู้อาวุโสคิดเห็นตรงกันว่าระหว่างหลินซานซานและบุตรชายของพวกเขามิอาจบรรจบกันได้ จึงหมายคิดเอาใจให้นางรู้สึกดีขึ้น
“ซานเอ๋อร์” เป็นฮูหยินหลินที่เอ่ยขึ้นมา ครั้นหลินซานซานเงยหน้ามอง นางก็พูดต่อ “หากเจ้าคิดถึงอาจิ้นมากถึงเพียงนั้น เจ้าก็ไปหาก็ได้”
หลินซานซานถึงกับเบิกตาโตราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นหาใช่เรื่องจริง
“ท่านป้าหมายถึง...”
“จวนของอาจิ้นก็หาได้อยู่ไกลจากจวนของลุงเจ้า ห่างกันเพียงอำเภอเดียว อีกทั้งยังกว้างใหญ่ ภายในมีหลายเรือนรองรับแขก หากเจ้าจะไปอยู่ก็หาได้มีผู้ใดขัด แม้แต่อาจิ้นเองก็ไม่ขัดเพราะเจ้าเป็นญาติผู้น้องของเขา”
ประโยคนี้เป็นเสนาบดีหลินที่เอ่ยแทรกขึ้นมา ความดีใจในวูบแรกของหลินซานซานมลายหายไปเล็กน้อย
เป็นญาติผู้น้องของเขา... นางรู้แล้ว ไม่ต้องย้ำนางนักก็ได้
“แล้วพี่สะใภ้ของเจ้าก็จะได้มีเพื่อนด้วย อาจิ้นออกตรวจการทุกวี่วัน ทิ้งฮูหยินไว้ในจวนแต่ลำพัง หากมีเจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนคงจะคลายเหงาได้ไม่น้อย นางหาได้เคยอยู่เมืองหลวง ลืมตาเกิดขึ้นมาก็อยู่ที่ชายแดนแล้ว ได้เจ้าช่วยแนะนำสิ่งต่างๆ นางคงจะดีใจ คลายเหงาคิดถึงบ้านเป็นแน่”
ฮูหยินหลินกล่าวเสริม จากที่สลดไปเมื่อครู่ ตอนนี้หลินซานซานสลดหนักกว่าเดิมอีก
เป็นแค่ญาติผู้น้องของบุรุษที่นางรักไม่พอ ยังจะต้องไปเป็นเพื่อนคลายเหงาให้กับฮูหยินของเขาอีก
ดี! เอาเข้าไป! เอาให้สาแก่ใจเลยสวรรค์!
หลินซานซานอยากจะปฏิเสธนัก แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อได้ยินว่า...
“อาจิ้นจะได้หายเหนื่อยด้วยเมื่อเห็นเจ้า ช่วงนี้ข้าได้ยินว่างานหลวงหนักหนายิ่ง หากมีเจ้าอยู่ใกล้ๆ คอยแบ่งเบาบรรเทาทุกข์ให้ เขาคงดีใจ ไม่มีผู้ใดรู้ใจอาจิ้นได้มากเท่าเจ้าอีกแล้วซานเอ๋อร์ ไปเถิด เจ้าเองจะได้เลิกเก็บตัวด้วย”
...ยามนี้เองที่นางแย้มยิ้มขึ้นมาได้
เหตุผลนี้ค่อยน่าฟังหน่อย ถึงแม้ว่าการบรรเทาความเหนื่อยหรือทุกข์ใดๆ ของหลินจิ้นฝูจะเป็นเพราะเขาสนิทสนมกับนางและเห็นนางเป็นเสมือนสหายหรือไม่ก็น้องสาวก็ตามทีเถิด แต่เอาล่ะ นางจะไปที่จวนของหลินจิ้นฝูเพราะเหตุนี้แหละ!
“ถ้าเช่นนั้นท่านลุงท่านป้าจะให้ซานเอ๋อร์ไปวันไหนดีเจ้าคะ”
ฉับพลันก็เริงรื่นขึ้นมาราวกับเป็นคนละคน เห็นท่าทางดีใจของนางแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสองก็โล่งใจเป็นปลิดทิ้ง
“เจ้าอยากไปวันไหนก็สุดแท้แต่ใจเจ้าเลย”
วันนี้เลยเป็นอย่างไร!?
แต่ประเดี๋ยวก่อน... หากไปวันนี้เลยจะไม่เป็นการดี การที่จู่ๆ นางก็ปุบปับไปหา อาจจะทำให้หลินจิ้นฝูกับฮูหยินผิดใจกันได้เพราะทั้งสองเพิ่งตบแต่งอยู่กินฉันสามีภรรยาได้ไม่นาน หากโผล่ไปอย่างนั้น ฮูหยินของเขาอาจจะเข้าใจผิด อย่างน้อยก็ควรจะแจ้งล่วงหน้าก่อนสักสองสามวัน ถือเสียว่าเป็นมารยาท จวนนั้นเป็นของหลินจิ้นฝู ฮูหยินของเขาก็ถือว่าเป็นเจ้าของจวนเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องให้เกียรติ
“ไว้ซานเอ๋อร์ส่งบ่าวไปบอกอาจิ้นเรียบร้อยเมื่อใด ซานเอ๋อร์ค่อยไปก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
เมื่อตกลงได้ดังนั้น หลินซานซานก็ไม่อยู่แต่ในห้องให้เป็นที่เป็นห่วงของสองผู้อาวุโสแต่อย่างใด กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ส่งบ่าวรับใช้ไปแจ้งแก่หลินจิ้นฝูและฮูหยินของเขาว่าอีกสองวันให้หลัง นางจะไปเยือนที่จวนและขอพำนักอยู่ด้วยสักระยะหนึ่งโดยมีเหตุผลว่านางยังไม่คุ้นชินที่ญาติผู้พี่ที่สนิทดั่งพี่น้องร่วมสายโลหิตออกจากจวนไป นางจึงขอไปอยู่ใกล้ๆ จนกว่าจะปรับตัวให้ชินได้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ... พี่สะใภ้จะได้มีเพื่อนคลายเหงา
เหตุผลนี้ไม่ใช่เหตุผลที่นางอยากจะใช้นักหรอก แต่เมื่อคิดทบทวนดูดีๆ แล้ว ไม่ว่าอย่างไร นางก็มิอาจหลบหน้าฮูหยินของหลินจิ้นฝูได้ อย่างไรก็เกี่ยวดองเป็นญาติกันแล้ว ในเมื่อหนีไม่ได้ก็คงต้องผูกมิตร เป็นมิตรย่อมดีกว่าเป็นศัตรู...
หลินซานซานท่องจำไว้ในใจ... รักพี่สะใภ้ให้ได้อย่างที่รักหลินจิ้นฝู หากนางทำได้เมื่อไร เมื่อนั้นใจที่ว้าวุ่นของนางคงจะสงบเอง
สองวันผ่านไป ดรุณีน้อยก็มาปรากฏอยู่กลางจวนของผู้ตรวจการหลิน และเป็นอย่างที่คิดว่าระยะนี้หลินจิ้นฝูค่อนข้างมีงานมากมายให้สะสาง เหตุเพราะฮ่องเต้มีราชโองการให้ผู้ตรวจการดูแลความเรียบร้อยของบ้านเมืองให้สงบสุขเพราะช่วงหลังมานี้ ชาวบ้านและโรงพนัน รวมถึงหอคณิกามักมีปัญหาวิวาทกันบ่อยครั้ง สาเหตุทั้งหมดทั้งมวลมาจากผู้ตรวจการคนเดิมได้รับสินบนจากโรงพนันและโรงคณิกาเหล่านั้น อนุญาตให้ขูดรีดชาวบ้านจนกระทั่งเรื่องแดง ครั้นถูกปลดและลงโทษให้จองจำ หลินจิ้นฝูซึ่งสอบจอหงวนได้เป็นบัณฑิตจึงได้รับแต่งตั้งให้มารับหน้าที่นี้แทน แต่ดูแล้วตำแหน่งที่เขาได้รับดูเหมือนจะเป็นผู้เก็บกวาดมากกว่าผู้ตรวจการเมือง เพราะเขาต้องมาจัดการเก็บกวาดซากโสมมที่อดีตผู้ตรวจการทิ้งไว้ให้ทุกวี่วันไม่ละเว้น
ช่างเป็นงานที่หนักหนานัก...
วันนี้ก็เช่นกันที่ภาระหน้าที่มีให้สะสางมากมาย เขาทักทายกับหลินซานซานได้เพียงเล็กน้อยก็จากไป ปล่อยให้นางได้ยืนมองตามหลังอยู่กลางจวน ก่อนที่พ่อบ้านจะนำทางนางเข้าไปยังเรือนรับรอง
“ฮูหยินของอาจิ้นล่ะ”
หลินซานซานร้องถามเมื่อเข้ามายังเรือนรับรองแล้ว ที่ถามก็เพราะตั้งแต่เข้ามาที่จวน นางยังไม่เห็นพี่สะใภ้ของตนแม้แต่เงาทั้งที่ควรจะออกมาต้อนรับในฐานะเจ้าบ้าน พ่อบ้านซึ่งกำลังสั่งให้บ่าวรับใช้ขนข้าวของของหลินซานซานไปเก็บหันมาตอบคำถามอย่างนอบน้อม
“ฮูหยินยังไม่ตื่นขอรับ”
หลินซานซานย่นคิ้วพลัน
ยังไม่ตื่น... ป่านนี้แล้วน่ะหรือที่บอกว่ายังไม่ตื่น?
ยามนี้ดวงอาทิตย์เกือบจะตรงศีรษะ ทำให้หลินซานซานอดคิดไม่ได้เลยว่าจางอี้ซวนช่างเป็นฮูหยินที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย นอนจนตะวันตรงหัวเช่นนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน สตรีที่ดีควรตื่นก่อน นอนทีหลังสามี ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะดูแลหลินจิ้นฝูให้ดีได้อย่างไร หากเป็นนาง รับรองเลยว่านางจะไม่มีวันตื่นทีหลังสามีเป็นอันขาด!
อดเปรียบเทียบตนกับพี่สะใภ้ไม่ได้อีกแล้ว หลินซานซานจำต้องเตือนตนเองว่ามาที่จวนของญาติผู้พี่เพราะเหตุใด ก่อนที่จะปรับสีหน้าแล้วเอ่ยบอกกับพ่อบ้าน
“เช่นนั้นเจ้าช่วยไปบอกนางหน่อยได้หรือไม่ว่าข้ามาถึงแล้ว อยากจะทักทายนางเสียหน่อย ช่วยไปปลุกนางที”
หญิงสาวรู้ดีว่าการกระทำเช่นนี้ไม่มีมารยาทนัก แต่พี่สะใภ้ของนางเองก็หาได้มีมารยาทเช่นกัน นางให้คนมาส่งข่าวตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้วว่านางจะมา พี่สะใภ้ย่อมรู้ดีว่าวันนี้จะมีแขก แล้วเหตุใดถึงได้นอนหลับอุตุไม่สนใจฟ้าดินกัน
พ่อบ้านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน ยืนนิ่งไม่ไปไหน ทำให้หลินซานซานต้องเลิกคิ้วสูง
“มีอะไรหรือ”
“คือว่า...”
เขาทำท่าเหมือนจะพูดแล้วก็ไม่พูด หลินซานซานเลยต้องถามซ้ำ
“คือว่าอะไร”
“นายหญิงมักอารมณ์ฉุนเฉียวหากถูกรบกวนตอนนอนน่ะขอรับคุณหนู”
อ๋อ เพราะเหตุนี้นี่เอง พ่อบ้านถึงมีท่าทางอึกอัก เมื่อหรี่ตาพิจารณาจากท่าทางเขาแล้ว สงสัยพี่สะใภ้ของนางคงจะอารมณ์ร้ายพอตัวเสียกระมัง อีกฝ่ายถึงได้มีท่าทีหวาดเกรงถึงเพียงนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถิด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปลุกนาง อีกเดี๋ยวก็ตะวันตรงหัวแล้ว จะให้นางซึ่งเป็นแขกนั่งรอทักทายกับผู้เป็นเจ้าของจวนด้วยเหตุผลว่าเจ้าของจวนไม่ยอมตื่นได้อย่างไรกัน
“ไม่เป็นไร ไปตามนางเถิด หากนางจะตีเจ้าก็ให้รีบวิ่งมาหาข้าก็แล้วกัน ข้าช่วยเจ้าเอง”
หลินซานซานอ้างตัว อย่างน้อยนางก็เป็นคุณหนูของสกุลหลิน เป็นถึงหลานสาวคนโปรดของท่านเสนาบดีและเป็นญาติผู้น้องของผู้ตรวจการเมือง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกรงใจนางกันบ้างล่ะ
พ่อบ้านไร้ซึ่งทางเลือก แม้ไม่อยากไปก็ต้องไป ปล่อยให้หลินซานซานนั่งรออยู่ในเรือน รออยู่ครู่ใหญ่ สตรีในอาภรณ์สีขาวสะอาดตาก็ปรากฏกายให้เห็น พียงปรากฏวาบที่หางตาแวบเดียว หลินซานซานก็จำได้ทันทีว่าคนผู้นั้นคือพี่สะใภ้ของตน
“คารวะพี่สะใภ้ ซานเอ๋อร์ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ”
หลินซานซานรีบลุกขึ้นย่อคำนับ ครั้นอีกฝ่ายพยักหน้า ทอดมองนางด้วยแววตานิ่งเรียบ หลินซานซานก็เงยหน้าขึ้นมองนางบ้าง จากนั้นก็ต้องหยุดหายใจไปชั่วขณะ อีกฝ่ายหาได้ประทินโฉมดั่งเช่นเมื่องานมงคลสมรสแต่อย่างใด ทว่าดวงหน้าผุดผาดของพี่สะใภ้ยังคงช่วงชิงลมหายใจของนางไปได้เหมือนเคย แม้ผมเผ้าจะไม่ได้รวบปักปิ่น เพียงรวบเกล้าไว้หลวมๆ แค่นั้นก็ทำให้นางงดงามดั่งเทพธิดาเดินดินแล้ว
คนถูกรบกวนเวลานอนปรายตามองหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้า ใช่ว่าจะไม่รู้จักนาง รู้จักอย่างดีทีเดียวเพราะบ่าวไพร่ในจวนที่ส่วนหนึ่งมาจากจวนใหญ่ของสกุลหลินล้วนพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าหลินซานซานเป็นญาติผู้น้องที่สนิทสนมกับหลินจิ้นฝูเป็นอย่างมาก เพียงแต่หาได้เคยเสวนาด้วยจึงไม่รู้ว่าสนิทสนมกันมากเพียงใดก็เท่านั้น
