บทที่ 4
“ลูกแพร ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ทุกคนต้องรอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราก็เพิ่งจัดเด็กๆ ให้นั่งประจำที่กันเรียบร้อยก่อนที่คุณลูกแพรจะมาไม่กี่นาทีเองค่ะ” ประภา ที่เป็นเหมือนแม่ใหญ่ของเด็กทุกคนในมูลนิธิตอบแพรวาด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นเราก็เริ่มทานกันเลยดีกว่าค่ะ เด็กๆ คงจะหิวแล้ว ใช่ไหมค่ะฟ้าพราว”
แพรวาบอกกับประภาแล้วจึงก้มลงพูดฟ้าพราวที่นั่งกึ่งกลางระหว่างเธอและเอกพลกำลังจ้องมองอาหารในจานด้วยดวงตาเป็นประกาย
“หิวแล้วค่ะแม่”
“หิวก็ทานเลยค่ะลูก พ่อก็หิวแล้ว รอหนูกับแม่แต่งตัวจนท้องร้องไปหมด”
“ตีตี้เวอร์ไปเปล่า แกเพิ่งจะกินเค้กของฉันไปเมื่อกี้นี่เองนะ”
“ทานกันดีกว่าครับ”
เอกพลเอ่ยกับทุกคนเพื่อตัดบทไม่อยากทะเลาะกับแพรวาในตอนนี้ ลงมือตักอาหารในจานตามด้วยทุกคนในห้องอาหารที่ลงมือทานอาหารกันอย่างความเอร็ดอร่อย ประภามองภาพความน่ารักของเจ้าของมูลนิธิที่คอยดูแลลูกบุญธรรมของพวกเขาแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมา หากเธอไม่รู้มาก่อนว่าเอกพลนั้นเป็นชายที่มีจิตใจเป็นหญิงคงจะคิดว่าเอกพลเป็นคุณพ่อตัวจริงได้ไม่ยาก เป็นภาพความอบอุ่นที่หายากสำหรับสังคมสมัยนี้
หลังจากที่แพรวาและเอกพลทานอาหารของตัวเองเสร็จเรียบร้อยทั้งคู่จึงปล่อยฟ้าพราวให้อยู่กับประภา แล้วลงไปช่วยพี่เลี้ยงคอยป้อนอาหารให้กับเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วนเด็กๆ ที่โตพอจะทานได้ด้วยตัวเองก็นั่งทานอาหารกันไปเรื่อยๆ โดยมีพี่เลี้ยงคอยดูอยู่ห่างๆ เพื่อเป็นการฝึกให้พึ่งพาตัวเองเพื่อช่วยเหลือตัวเองได้ในอนาคต
กริ๊งงง กริ๊งงง
เสียงโทรศัพท์ของแพรวาดังขึ้น ร่างบางจึงวางมือจากการแกะผลส้มให้กับเด็กชายตัวน้อยแล้วล้วงมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อดูว่าใครที่โทรเข้ามาหาเธอในเวลานี้
“แด๊ด!!”
“อะไร ทำหน้าอย่างกับเห็นผี ใครโทรมายะ” เอกพลที่นั่งอยู่ไม่ไกลเห็นสีหน้าตกใจของแพรวาจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“แด็ดนะสิตีตี้ ทำไงดี ทำไงดี”
“งานเข้า แกรีบขึ้นห้องแล้วเปิดเพลงให้ดังๆ เลยนะ แล้วค่อยกดรับจะได้เหมือนแกอยู่ในผับไง”
“โอเค”
แพรวารีบวิ่งกลับไปที่ห้องพักของตัวเองเพื่อจัดการตามที่เพื่อนแนะนำ ไม่นานหลังจากสายแรกที่โทรเข้ามาดับไป สายที่สองก็ดังขึ้นมาติดๆ มือบางเปิดเพลงให้ดังไปทั้งห้องแล้วจึงกดรับสายของบุพการีทันที
“สวัสดีค่ะแด๊ด”
“ลูกแพร หนูอยู่ที่ไหน เสียงเพลงดังมากจนแด๊ดแทบจะไม่ได้ยินเสียงลูกเลย”
“ลูกแพรก็อยู่ที่ผับไงคะ กำลังสนุกเลย แด๊ดมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ช่วยหาที่เงียบๆ หน่อยได้ไหมลูก แด๊ดมีเรื่องสำคัญมากจะคุยด้วย”
“สำคัญมากเลยเหรอคะ ไว้ลูกแพรกลับไปคุยที่บ้านได้ไหมคะ อีกสองสามวันลูกแพรก็กลับแล้ว” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เธอก็เดินไปหรี่เสียงเพลงที่เปิดให้เหมือนกับอยู่ในสถานบันเทิงนั้นเบาลง จนสามารถคุยกับแด็ดของเธอได้ง่ายขึ้น
“สำคัญมาก ลูกแพร...บริษัทของเรากำลังจะล้มละลาย”
“อะไรนะคะ!”
“สายการบินของเรากำลังจะตกเป็นของคนอื่น ตอนนี้แม่เขาช็อกกับเรื่องนี้มากจนล้มป่วย ลูกแพรต้องรีบกลับบ้านเราด่วนเลยนะลูก”
“ลูกแพรจะรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ค่ะแด๊ด”
แพรวาวางสาย ปิดเพลง แล้วรีบกลับไปยังห้องอาหารเพื่อลากแขนเอกพลที่กำลังล้างมือหลังจากแกะผลไม้ให้กับเด็กๆ ที่เปรียบเสมือนลูกจนทุกคนเรียกเขาและแพรวาว่า ‘พ่อ แม่’ ออกจากจุดนั้นไปยังศาลาข้างสวนเด็กเล่นที่ปลูกดอกไม้และต้นไม้ให้เด็กๆ ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด
