บทที่ 5
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป...
ยังไร้วี่แววความคืบหน้าของคดี ไม่มีรอยนิ้วมือหรือปลอกกระสุนให้ตามหามีเพียงพยานที่บอกว่าเห็นรถยนต์และกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคนเท่านั้นแต่ก็ไม่มีใครเห็นใบหน้าของคนกลุ่มนั้นได้ชัด เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรที่ยากเย็นแสนเข็ญกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าจะเจอเพียงแค่ไม่กี่วัน บางทีอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีกว่าคดีนี้จะจบ
“ทานข้าวก่อนเถอะนะน้ำขิง”
“หนูไม่หิวค่ะป้า”
“แต่ร่างกายหนูจะไม่ไหวเอานะ ถ้าหนูยังไม่ยอมทานอะไรแบบนี้” ชม้อยบอกกับเพียงดาวที่เอาแต่นั่งร้องไห้เงียบๆ หน้าโล่งศพแม่และน้องสาว
ใบหน้างามที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสแจกจ่ายให้กับทุกคนทั่วหมู่บ้าน บัดนี้เศร้าซึมเหี่ยวเฉาราวกับคนใกล้ตาย ไม่คิดแม้แต่จะสนใจว่าร่างกายตัวเองจะเป็นยังไงเอาแต่นั่งร้องไห้จนดวงตาปูดโปน และคิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ซ้ำๆ ว่าทำไมถึงต้องทำร้ายครอบครัวเธอถึงขนาดนี้ ทั้งที่ครอบครัวเธอไม่เคยมีปัญหาหรือทำอะไรให้ใครต้องเดือดร้อนเลยสักอย่าง
ทำไม ทำไมถึงไม่เอาชีวิตเธอไปด้วย ทิ้งเธอไว้คนเดียวทำไม ฆ่าเธอไปด้วยให้รู้แล้วรู้รอดไปด้วยเลยไม่ได้หรือไง ทำไมต้องปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่แต่เหมือนตายทั้งเป็นแบบนี้
“หนูกินอะไรไม่ลง”
“แต่หนูก็ต้องกินนะน้ำขิง ทุกคนเป็นห่วงหนู ไม่ใช่แต่ป้าคนเดียวเท่านั้น ลองหันกลับไปมองข้างหลัง ยังมีคนรักหนูอีกมากนะน้ำขิง”
เพียงดาวหันกลับไปมองด้านหลังตามที่ป้าชม้อยบอก ชาวบ้านแถบนั้นที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันต่างช่วยกันจัดเตรียมงานศพให้กับเพียงใจและเพียงฟ้ากันอย่างขะมักเขม้น อย่างที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ในแถบชานเมืองหลวง ช่างเป็นภาพที่มีความหมายและสื่อได้ถึงอะไรหลายๆ อย่างให้เธอรู้สึกเข้มแข็งขึ้น
“ว่าแต่ ป้าไม่เห็นคุณพีมาเลย หรือว่าเขายังไม่รู้ข่าว”
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะป้าม้อย”
ในช่วงเวลาที่เธอต้องการกำลังใจและที่พึ่งพิง คนที่บอกว่ารักและพร้อมจะก้าวเดินไปกับเธอกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ติดต่อมาเลยแม้แต่ส่งข้อความถามไถ่ เขาหายตัวราวกับไม่เคยมีตัวตนในชีวิตเธอเงียบหายไปเลยตั้งแต่วันนั้น แต่เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปตามหา
นี่เหรอคนที่บอกว่ารักกัน คนที่จะขอใช้ชีวิตร่วมกันวันนั้นหนีหายไปไหนแล้วไม่รู้ ในวันที่เธอต้องการเขามากที่สุดเขากลับไม่อยู่เคียงข้าง
เธอยังควรรักเขาอยู่ไหม?
แล้วควรจะทำยังไงในวันที่เขากลับมา...
“ขอโทษครับคุณเพียงดาว ผมขออนุญาตสอบปากคำคุณเพิ่มเติมหน่อยครับ”
เพียงดาวหันไปมองตามเสียง นายตำรวจหนุ่มคนเดิมที่ตามเธอไปยังโรงพยาบาลยืนคอยคำตอบจากเธออย่างใจจดใจจ่อ “ค่ะ”
“ป้าว่าน้ำขิงน่าจะกินอะไรก่อนสักหน่อยเถอะนะ แล้วค่อยไป” ชม้อยบอกกับหญิงสาวที่ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นเดินตามนายตำรวจหนุ่มออกไป
“ค่อยกลับมากินทีหลังแล้วกันนะคะป้า”
เพียงดาวตอบหญิงสูงวัย ก่อนจะเดินตามนายตำรวจหนุ่มออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ไม่ไกล ซึ่งจุดหมายที่นายตำรวจหนุ่มพาเธอไปก็ไม่ใช่ที่ไหน แต่เป็นสถานีตำรวจที่รับผิดชอบเกี่ยวกับคดีนี้นั่นเอง
“คุณนึกไม่ออกจริงๆ เหรอครับว่าครอบครัวคุณมีศัตรูที่ไหน” นายตำรวจหนุ่มเริ่มถามคำถามเพียงดาว พร้อมกับมีนายตำรวจอีกคนคอยจดบันทึกคำตอบ
“ครอบครัวเราไม่เคยมีศัตรูที่ไหนจริงๆ ค่ะ ไม่เคยมีปัญหากับใครเราอยู่กันสามคนแม่ลูกมาหลายปี ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใครเลย ...อึก” น้ำตาเม็ดโตเริ่มไหลออกมาอีกครั้งเมื่อต้องพูดถึงครอบครัวที่เพิ่งจะสูญเสียไป
“แล้วคุณพอจะสงสัยใครบ้างไหมครับ”
“ฉันไม่รู้จะสงสัยใคร ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ชาวบ้านแถวนั้นก็รักใคร่กันดีและไม่มีใครมีเงินมากพอที่จ้างคนมากมายขนาดนั้นมาลงมือกับครอบครัวเล็กๆ ที่มีแค่ผู้หญิงสามคนอยู่บ้านหรอกค่ะ”
