บทที่3 แพรวารินทร์ 2
อีกฟากหนึ่ง
ร่างบางที่คล่องแคล้วกระฉับกระเฉงปลายสายตามองเวลาที่ค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ ด้วยความนิ่งสงบ เธอไม่ขยับตัวไปไหนเลยราวกับว่าได้กลายเป็นรูปปั้นไปแล้วท่าทีของเธอทำให้บรรดาคนรับใช้ที่พากันยืนเรียงอยู่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแขกของเจ้านายถึงกับพูดไม่ออก
คงไม่มีใครที่ไหนนั่งนิ่งได้เท่าเธอคนนี้หลังจากที่รอมากว่า3ชั่วโมง...เธอคนนี้ทำได้ยังไงกัน?
“เอ่อ...คุณรับเครื่องดื่มอะไรเพิ่มมั้ยคะ?” มาลี หญิงชราวัยหกสิบเศษผู้เป็นหัวหน้าแม่บ้านเอ่ยถามขณะที่สายตายังคงจ้องมองร่างบางด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความรู้สึกทึ่งที่อีกฝ่ายสามารถนั่งนิ่งได้ขนาดนี้ทั้งที่เจ้านายของพวกเธอให้รอนานกว่า3ชั่วโมง...จะหลุดด่าออกมาสักคำก็ไม่มี น่าทึ่งจริง ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่น้ำเปล่าแก้วนี้ก็พอแล้ว” แพรวารินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพไร้ซึ่งความถือตัวก่อนจะนิ่งเงียบคล้ายจมอยู่กับตัวเองอีกครั้ง แม้ท่าทีที่แสดงออกจะไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นหินทว่าภายในใจของหญิงสาวนั้นเดือดดาลอยู่ไม่น้อย เธอไม่มีปัญหากับการต้องรอลูกค้า แต่การที่ลูกค้าปล่อยให้รอทั้งที่เป็นคนนัดเวลาเองแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการกลั่นแกล้งและนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกค้าคนนี้กลั่นแกล้งเธอ
เป็นครั้งที่3แล้วที่เธอต้องมาที่นี่เพราะลูกค้าคนพิเศษของบริษัทอยากจะปรับแก้แบบร่างที่เธอนำเสนอ ครั้งแรกเขาพอใจ แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ครั้งที่สองเขาบอกว่าไม่พอใจ แต่จะไม่เอาแบบแรก ให้เธอแก้อีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็บอกว่าอยากลองดูแบบแรกดูอีกครั้ง...ช่างเป็นลูกค้าที่เรื่องมากจนไม่อยากจะเสวนาพาที
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกค้าที่มองอย่างไรเธอก็ปลื้มไม่ลงเธอก็ไม่อาจจะแสดงท่าทีอะไรออกไปได้ แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็เป็นคนที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกได้ดีอยู่แล้วหญิงสาวจึงรู้ดีว่าไม่ควรแสดงออกท่าทีไม่พอใจ และถึงแม้จะอยากแสดงออกสักเพียงใดก็คงทำไม่ได้
ทำไมน่ะเหรอ?...ก็ลูกค้าพิเศษคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับบอสของเธออย่างไรล่ะ
เพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องเรื่องมากของบอสใหญ่เธอจึงทำให้ทุกอย่างพังไม่ได้ ทำได้เพียงแค่อดทนเท่านั้น เพราะถ้าขืนเธอทำมันพังคนที่ต้องเข้ามาดูแลแทนก็คือพิมพ์พิชชาเพื่อนสนิทของเธอ คนที่ทั้งบริษัทยกให้เป็นยัยตัวแสบประจำบริษัท
เธอจะไม่ยอมให้ยัยตัวแสบมาที่นี่แน่ ๆ ล่ะ...ดังนั้นเธอจึงต้องอดทนและแสดงออกให้มากที่สุดว่าไม่สะทกสะท้าน คนขี้แกล้งจะได้หยุดแกล้งสักที
กริ๊ง ๆ
ตาคู่หวานมองไปยังหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เธอวางไว้บนโต๊ะก่อนจะหยิบขึ้นมารับสายทันทีที่รู้ว่าปลายสายคือใคร
“ค่ะแม่พราว แพรยังอยู่บ้านลูกค้าเลยค่ะ”
“อ้าว!!! ยังไม่เสร็จงานเหรอลูก ไหนว่าบ่ายนี้มีแค่นัดพบลูกค้าคนเดียวไง” ปลายสายอย่างคุณหญิงพราวกะรัตซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่สามีของคู่สายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดูและแปลกใจ แพรวารินทร์ลอบถอนใจก่อนจะตอบไป
“ลูกค้าติดธุระด่วนน่ะค่ะ ก็เลยต้องรอ แม่พราวไปก่อนก็ได้นะคะ เสร็จงานแล้วแพรจะรีบตามไปค่ะ”
“ไม่ต้องรีบก็ได้ลูก ไว้หนูเสร็จงานแล้วกลับบ้านเปลี่ยนชุดเรียบร้อยเราค่อยไปพร้อมกันก็ได้ งานนี้แม่บอกแล้วไงว่าแม่จะควงหนูไป จะให้แม่ไปก่อนได้ยังล่ะ” ปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่ยินยอมกับสิ่งที่แพรวารินทร์เสนอ หญิงสาวหลุดยิ้มเมื่อนึกขึ้นมาได้ งานที่แม่สามีพูดถึงก็คืองานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนสนิทของคุณหญิงพราวกะรัตที่โทรศัพท์มารบเร้าให้คุณหญิงพราวกะรัตพาเธอไปด้วยให้ได้เพราะว่าลูกสาวของอีกฝ่ายนั้นอยากจะปรึกษาเธอเรื่องการรีโนเวทบ้าน เมื่อเพื่อนรบเร้ามาคุณหญิงพราวกะรัตจึงตอบตกลงไปและยังบอกอีกว่าจะควงเธอไปโชว์ให้ทุกคนได้เห็นเป็นบุญตาเสียอีกด้วย...ถ้าไม่ควงเธอไปจริง ๆ ก็คงจะขายหน้าแย่ จะทำให้แม่สามีที่รักเธอเหมือนลูกสาวแท้ ๆ เสียหน้าได้ยังไงกันล่ะ
“งั้นแม่พราวรอแพรสักแป๊บนะคะ แพรจะรีบกลับไปให้ทันค่ะ”
“ได้จ้ะ แม่จะรอนะ” ปลายสายตอบกลับเพียงเท่านั้นการสนทนาก็ยุติ แพรวารินทร์เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าก่อนจะมองดูเวลาอีกครั้งและหันไปยังแม่บ้านวัยชรา “รบกวนคุณแม่บ้านช่วยโทรศัพท์ถามคุณทอมให้หน่อยได้มั้ยคะว่าเขาสะดวกคุยงานกับดิฉันรึเปล่า ถ้าวันนี้ไม่สะดวกจะได้นัดเวลากันใหม่”
“เอ่อ... สักครู่นะคะคุณ” มาลีรับคำก่อนจะหายไปโทรศัพท์หาคนเป็นเจ้านาย เพียงไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“เขาว่ายังไงคะคุณแม่บ้าน?”
“คือ...คือว่า เอ่อ คุณทอมเธอกำลังจะขึ้นเครื่องไปตรวจโครงการที่ฮ่องกงน่ะค่ะ เธอบอกให้คุณมัณฑนากรกลับไปก่อนได้เลย เธอกลับมาจะนัดคุยอีกทีค่ะ”
หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบที่ได้รับทว่าไม่มีท่าทีไม่พอใจแสดงออกมาให้ใครได้เห็น แพรวารินทร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ราวกับไม่ได้เพิ่งพบเจอกับเรื่องชวนโมโห “อย่างนั้นเหรอคะ โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
แพรวารินทร์เดินออกไปลับตาแล้วทว่ามาลียังคงมองตามอย่างนึกชื่นชมในความอดทนของอีกฝ่าย “น่าทึ่งจริง ๆ”
“นั่นน่ะสิป้า นอกจากคุณปรียาก็มีคุณมัณฑนาการคนนี้ล่ะที่ทนต่อการกลั่นแกล้งของคุณทอมได้” มารินีหลานสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากมาลีเอ่ยแสดงความคิดเห็นก่อนจะหันกลับไปเก็บแก้วน้ำ มาลีฟังคำของหลานแล้วก็ขบคิด น่าทึ่งที่มัณฑนากรสาวไม่แสดงกิริยาไม่พอใจออกมาเลยแต่ก็ใช่ว่าจะมีเพียงหญิงสาวที่พบเจอการกลั่นแกล้งของเจ้านายบ้านนี้แล้วยังทนได้ ยังมีอีกคนที่ทนได้และน่าแปลกที่ทั้งคู่ดูคล้ายกันมาก แม้จะไม่เหมือนกันซะทีเดียวก็ตาม...หวังว่าเธอคนนี้คงไม่ถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งอีกคนนึงของเจ้านายบ้านนี้นะ
“ตายแล้วป้า คุณมัณฑนากรเธอลืมของไว้”
“อะไรล่ะ?”
“เหมือนจะเป็นสมุดโน๊ตนะป้า ทำยังไงดีป้า เธอกลับไปแล้วด้วยสิ” มารินีถามอย่างกังวลใจ มองดูก็พอจะรู้ได้ว่าสมุดโน๊ตนี้เป็นของสำคัญสำหรับมัณฑนากรสาว เธอและคนเป็นป้าก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวเป็นใครมาจากไหนจะส่งของคืนคนก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปคืนที่ไหน
“เอามาให้ป้า เดี๋ยวคุณทอมมาป้าจะเอาให้คุณทอม ให้คุณทอมเอาไปฝากคุณพีร์คืนให้”
“แต่เมื่อกี้ป้าว่า...”
“คุณทอมเธอให้ป้าบอกคุณมัณฑนากรไปแบบนั้น กำหนดไปฮ่องกงน่ะพรุ่งนี้”
“อ้าวป้า ทำไมคุณทอมทำแบบนี้ล่ะ” คนเพิ่งรู้ความจริงรู้สึกทั้งตกใจทั้งนึกไม่พอใจแทนคนโดนแกล้งเอ่ยพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจ “ทำไมคุณทอมถึงได้กลายเป็นคนใจร้ายแบบนี้ คุณมัณฑนากรเธอรอตั้งนาน น่าสงสารเธอจริง ๆ”
“เงียบไว้เถอะนา ถึงแกจะโตมาพร้อมคุณทอม และคุณทอมเห็นแกเป็นเพื่อนแต่อย่าลืมว่าคุณทอมเธอเป็นเจ้านาย แล้วก็พ่อแม่ของเธอมีบุญคุณส่งเสียเลี้ยงดูแกให้แกได้เรียน ได้มีความรู้ติดตัว จะว่าอะไรเธอก็คิดถึงข้อนี้บ้าง”
“ไม่รู้ด้วยแล้ว แต่ถ้าครั้งหน้าคุณมัณฑนากรโดนแกล้งอีกรินีจะฟ้องคุณปรียา คุณทอมรักคุณปรียา คุณปรียาต้องช่วยคุณมัณฑนากรได้แน่ ๆ”
“ฉันก็หวังว่าคุณทอมเธอจะไม่เอาคุณมัณฑนากรมาประชดลองใจคุณปรียาจนผู้หญิงสองคนต้องผิดใจกันนะ” มาลีเอ่ยก่อนจะหยิบสมุดโน๊ตมาจากมือหลานสาวและเดินจากออกไปทิ้งความงุนงงไว้ให้หลานสาววัยสามสิบเศษที่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คนเป็นป้าคิด แต่ถึงจะไม่เข้าใจแต่มารินีก็รู้สึกชื่นชอบมัณฑนากรสาวเป็นอย่างมาก หมายมาดว่าถ้ามัณฑนากรสาวโดนแกล้งครั้งต่อไปเธอจะต้องช่วยให้ได้
หลายคนหลายความคิด มารินีและมาลีมีความคิดของตัวเอง แพรวารินทร์เองก็มีความคิดเป็นของตัวเอง หญิงสาวไม่ได้มุ่งตรงกลับบ้านในทันทีที่ออกมาจากบ้านลูกค้าระดับvipทว่าเธอขับรถมาจอดยังสวนสาธารณะของหมู่บ้านที่เป็นที่ตั้งของบ้านสัตยบดินทร์...ที่ตรงนี้เป็นสถานที่ที่เธอมาเสมอเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจ หรือไม่พอใจ
เธอปล่อยทุกอารมณ์ความรู้สึกทิ้งไว้ที่นี่และกลับไปที่บ้านสัตยบดินทร์ด้วยรอยยิ้มเสมอไม่ว่าจะเจอะเจออะไรข้างนอกก็ตาม...ไม่ว่าจะไม่สมอารมณ์แค่ไหนก็จะไม่แสดงกิริยาอาการให้คนที่รักเธอเหมือนลูกไม่สบายใจเป็นอันขาด
ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าครั้งนี้โดนกลั่นแกล้งแต่เธอก็ไม่คิดที่จะโวยวายอะไรเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นแล้วเรื่องนี้ถือว่าจิ๊บจ๊อยไปเลยเธอถึงไม่คิดถือสาอะไร...เทียบกับการได้ยินคนนินทาระยะเผาคนเรื่องพงศ์พยัคฆ์แล้วมันกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเลยล่ะ
ร่างบางนั่งลงบนชิงช้าที่ว่างอยู่แกว่งไปมาพร้อมกับเหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่มีนกฝูงใหญ่กำลังบินกลับรังกันอย่างไร้อุปสรรค “เป็นนกนี่ดีจังเนาะ อยากไปไหนทำอะไรก็ได้มีอิสระเป็นของตัวเอง ดูมีความสุขซะจริง”
ทันทีที่พูดจบร่างบางก็ขยับลุกขึ้นและเดินกลับไปที่รถในทันทีโดยไม่ได้มองเลยว่าชิงช้าตัวข้าง ๆ ที่มีคนนั่งหันไปฝั่งตรงข้ามกับเธออยู่ก่อนหน้าที่เธอจะนั่งนั้นเป็นใคร...แพรวารินทร์ไปแล้วทว่าชายหนุ่มที่ได้ยินคำรำพึงรำพันของหญิงสาวนั้นยังอยู่
เขาไม่ใช่ใครที่ไหน นายแพทย์พงศ์พยัคฆ์นั้นเอง ในทุก ๆ วันก่อนกลับบ้านเขามานั่งคิดอะไรที่นี่เสมอแต่วันนี้เขาได้กลับบ้านเร็วกว่าทุกวันอันเนื่องมาจากไม่มีธุระที่ไหนต่อชายหนุ่มจึงได้ยินถ้อยคำที่ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนไปทั้งใจ แม้จะไม่ได้หันไปมองแต่แค่เสียงเขาก็จำได้ดีว่าใคร...ภรรยาตามกฎหมายของเขาอย่างไรล่ะ
พงศ์พยัคฆ์นิ่งคิดด้วยความรู้สึกที่หลากหลายไม่เคลื่อนไหวไปไหน กว่าจะสลัดความคิดสับสนได้และคิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้เขาสัญญากับคนเป็นแม่ไว้ว่าจะรีบกลับและไปงานกับท่านฟ้าก็มืดเสียแล้ว...คุณหญิงพราวกะรัตควงแขนลูกสะใภ้ไปงานกันแค่สองคนโดยไม่รอเขาเสียแล้ว
พงศ์พยัคฆ์อาจจะยังคิดไม่ตกทว่าเรื่องของโชคชะตานั้นคนบนฟ้าได้กำหนดเอาไว้แล้วและเรื่องราวบทสรุปของเขาและภรรยาในนามที่ไม่รู้ว่าควรจะดำเนินไปในทิศทางไหนก็กำลังจะดำเนินไปตามที่คนบนฟ้าได้กำหนดเอาไว้แล้วโดยที่เขาและเธอไม่ทันรู้ตัว...
