4
เช้าวันนี้อากาศสดชื่น พระอาทิตย์สีส้มสาดแสงสีอ่อนจางจมดิ่งลึกสู่งท้องทะเลและล้อเล่นเกลียวคลื่น ตติยากรวิ่งออกกำลังกายจนได้เหงื่อ หลังจากนั้นเข้าไปเตรียมอาหารให้น้องๆ อาหารง่ายๆ คือโจ๊กและผัดผัก ไข่เค็มต้ม ส่วนแม่จ๋าเตรียมอาหารเหลวให้พร้อมยา หญิงสาวเติมน้ำให้แม่ด้วยตนเองเมื่ออาหารหมด มองนิ้วมือที่อ่อนแรงหวังให้ขยับเขยื้อนได้ น้องชายสามคนกินเสร็จก็ออกไปวิ่งเล่นกับว่าวตัวโปรด ตติยากรมองไปนอกหน้าต่างห้องนอนแม่
เธอหวังอยากมีครอบครัวที่มีความสุข มีลูกๆ วิ่งเล่นที่บ้านเกิดแห่งนี้ ถ้าเกิดจากคุณบีคงมีความสุขมาก
“จะไปเดินเล่นไหมคะ พักผ่อนบ้างนะคะดูเครียดๆ ตอนเช้าไปออกกำลังกาย ตอนนี้ไปนอนเล่นๆ แถวหาดบ้างก็ดี เมื่อก่อนชอบไปนี่คะ”
จ๋าเข้ามาขัดขวางความคิดที่แสนเพ้อเจ้อ ตติยากรพยักหน้า “ก็ดีค่ะ ค่ำจะได้พาสามแสบไปหาอะไรกิน”
ตติยากรมองหาน้องๆ
“ใครจะไปกับพี่บ้าง ถ้าไม่ไปก็ห้ามซนออกจากรั้วบ้านเชียวล่ะ ได้ยินว่าช่วงนี้หนีเที่ยว ปั่นจักรยานกันบ่อย”
“รถเก๋งสวยของพี่ พวกเราอยากนั่ง เบื่อจักรยาน” แสบหนึ่งมองรถพี่สาวตาปรอย
“วันนี้วันเกิดเรานะครับ ต้องพาเราไป” แสบสองสนับสนุน
“เบื่อทะเลมากผมไม่ไปครับ”
แสบสามเอ่ยเท่านั้น สองแสบก็ทำหน้ายู่กลับไปเล่นว่าวเหมือนเดิม
“พี่จะเลี้ยงฉลองวันเกิดให้คืนนี้คงพอใจนะ”
ทั้งสามกระโดดดีใจ ตติยากรเดินถือเสื่อ พร้อมหนังสือเรียนติดมือไปด้วย
ทว่าชั่ววินาทีความโชคร้ายมาเยือนเมื่อเธอหลบรถมอเตอร์ไซน์ที่ขับซิ่งไปเฉี่ยวชนรถหรูซึ่งจอดอยู่หน้าร้านกาแฟสด ขณะกำลังตกใจคู่กรณีอยู่ในรถและลงมาทำตาขวางใส่
“เดินยังไงของเธอ ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย”
ตติยากรไหว้ขอโทษ เมียงมองคนตรงหน้ารู้สึกคุ้นหน้า แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร กระทั่งเห็นคนขับรถลงมาเธอตกใจจนกรามค้าง
“คุณ…”
ภาสกรไม่พูดอะไร รู้สึกแปลกใจที่เจอคู่นอนที่นี่ เสียงแม่ทำให้เขาต้องล่ะสายตาจากตติยากร
“ตาบีรู้จักหรือ?”
ตติยากรตกใจหันไปมองคนที่ด่าเธอเมื่อครู่ รู้แล้วตอนนี้ว่าเป็นแม่ของคุณภาสกร หญิงสาวยกมือไหว้ “ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ตั้งใจ”
“เธอไม่ตั้งใจหรอกแม่ ผมพอจะเห็นว่ามีมอเตอร์ไซน์ขับมาเร็วมาก”
“รู้จักเหรอไง ปกป้องเชียวนะ”
คุณหญิงนพคุณจับจ้องลูกชายด้วยความสงสัย ตติยากรรู้ว่าอาจทำความยุ่งยากใจให้ชายหนุ่ม เพราะช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเธออยู่กับเขาในเงามืดเท่านั้น เธอกำลังจะเอ่ยปฏิเสธเพื่อตัดปัญหา แต่มีผู้หญิงสวยราวนางฟ้าเดินออกมาจากร้านกาแฟ ตรงมาที่รถ ภาสกรหันยิ้มให้ฝ่ายนั้น และตอบแม่เขาเสียเอง
“ไม่ครับ ไปเถอะครับ ส่วนเรื่องรถ ผมดูแล้วไม่มีรอยถลอกหรอกครับ”
“ไปค่ะ ร้อนมาก”
“โชคดีไปนะหล่อนที่พวกฉันรีบ คราวหน้าก็เดินดีๆ ล่ะ รถมันแพงรู้ไหม”
ตติยากรกำลังอึ้ง สับสน ในหัวตื้อเพราะเทพบุตรของเธอ กว่าจะรู้ตัวว่าเขาพูดอะไรออกมา รถคันหรูก็วิ่งไปจนลับสายตา
เขาก็ทำถูกแล้ว หญิงสาวรีบข้ามถนนเดินอย่างเหม่อลอย เมื่อไหร่จะเลิกเหม่อนะ ถ้าเป็นแบบนี้ไม่นานคงโดนรถกินเป็นแน่
เดินมาสักพักเธอมองหาต้นดอกรักใกล้ชายหาดมาร้อยเป็นพวงมาลัยเหมือนตอนเธอเป็นเด็ก ร้อยมาลัยแต่ดวงตาสีถ่านยังตามมาหลอกหลอน สายตาเย็นชาที่ทำให้ใจเย็นเยียบ
สักวันหนึ่งก็จะเป็นแค่คนเคยรู้จัก จะเป็นคนที่แปลกหน้าต่อกัน เธอต้องฝึกให้ชิน
สักวันเธอจะรักฉัน คำนี้ที่เคยหวังเธอจะหยุดคิด
เธอจะโกรธเขาไม่ได้…
ติด ติด ติด มือถือที่เงียบมาหลายวันเพราะไม่มีคนโทรหามีสายเข้า ตติยากรกดรับโดยที่ไม่ดูว่าเป็นใคร
“มาที่นี่ทำไมหรือ มากับใคร”
หญิงสาวลุกขึ้นกำมือถือแน่น ไม่คิดว่าภาสกรจะโทรมา “บ้านติยาอยู่ที่นี่ค่ะคุณบี บังเอิญจริงๆ ที่เจอคุณ”
“นั่นน่ะสิ เธอคงไม่ตามฉันมาหรอก ฉันแอบตกใจนะเนี่ย”
“เปล่าค่ะ เปล่าจริงๆ เที่ยวให้สนุกนะคะ”
ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ดีกว่านี้ แม้ใจจะเจ็บปวดที่เห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เธอก็คงต้องฝืนทำร่าเริง เพื่อไม่ให้ขายหน้า บางครั้งศักดิ์ศรีกินไม่ได้แต่ต้องฝืนทำ
“ก็โอเค การดูตัวราบรื่นดี ฉันก็หวังว่าจะสนุก คุ้มที่ทิ้งงานมา”
“ถูกใจก็ดีสิคะ แม่คุณจะได้สบายใจ”
“อือ ฉันก็หวังอย่างนั้น”
“คุณบีคะทางนี้ค่ะ อาหารมาแล้ว น่ากินเชียว”
คงเป็นผู้หญิงที่เขาว่าดีคนนั้น สายตัดไปไม่บอกกล่าว คนใจเศร้าหมองเดินไปเข็ญรถแม่…อากาศสดชื่น ลมเย็นที่ต้องผิวตั้งแต่ก้าวออกจากบ้านกลายเป็นมลพิษ ทุกอย่างทำให้หายใจไม่ออก มีเพียงความร้อนรุ่มในใจ แม้ห้ามตนเองว่าอย่าหึงหวงเขา แต่หัวใจรักไปแล้ว และไม่ว่ายังไงหัวใจอาภัพดวงนี้ต้องรับให้ได้ ความสุข ความทุกข์ไม่ได้อยู่กับคนเราชั่วนิรันดร์ ก่อนก้าวเข้าไปในชีวิตเขาเธอรู้เรื่องนี้ดีทุกอย่าง
ภาสกรเป็นคนดีเขาต้องเจอผู้หญิงที่เพียบพร้อมเท่าเทียมกัน
กำลังจะกลับจู่ๆ มีใครบางคนมาดึงแขน ตติยากรหลงคิดเพ้อคิดว่าเป็นคุณบี แต่กลับเป็นนิพล เธอมองอย่างแปลกใจ นานมากที่เธอหลบเลี่ยงการเผชิญหน้า ครั้งนี้คงยาก
“ติยาดีจริงที่เจอ”
“ติยาจะกลับพอดีขอตัวค่ะ”
“คุยกันก่อนสิ ไม่เจอเสียนาน ตอนนี้ผมเรียนจบกลับมาดูแลโรงแรมที่บ้านแล้วนะ กำลังปรับปรุงใหม่หมด”
“เหรอคะ “
นิพลใบหน้าเจื่อน แต่ยังชวนคุย
“แม่เป็นอย่างไรบ้าง”
“ต่างคนต่างอยู่เถอะค่ะ พี่ต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอคะ เราไม่จำเป็นต้องทักทายกันด้วยซ้ำ”
จำได้แม่นย่ำ หลังจากนิพลทิ้งเธอไป เขาก็แทบไม่มองหน้าเมื่อเจอกัน ทิ้งให้เธอเป็นขี้ปากเพื่อนในห้อง
“ทำไมพูดแบบนี้พี่ยังคิดถึงเรา”
“แต่ติยาไม่ค่ะ ชีวิตของเรามันเป็นเส้นขนานนานแล้ว คุณกับเพื่อนฉันยังไงก็ขอให้มีความสุขนะคะ”
“แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ให้ไม่ได้เหรอติยา”
“ถามอังเถอะค่ะ”
“ตอนนี้เราห่างๆ กันแล้วล่ะ”
สีหน้าดูเศร้าสร้อยแต่ตติยากรไม่สนใจ อะไรก็ไม่อยากรับรู้ทั้งนั้น แต่ล่าสุดก็ได้รู้ว่าเพื่อนมีแพลนจะไปเรียนเมืองนอก
“ให้โอกาสผมได้ไหมติยา ผมผิดไปแล้ว ผมอยากให้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ผมเอ่อ จะส่งเสียคุณเรียนต่อเองนะ”
คงดีใจไม่ใช่น้อยหากเมื่อก่อนเขาจะพูดแบบนี้ เพราะตอนที่โดนทิ้งไปเธอหมดสิ้นหนทางเรื่องเงิน ค่าใช้จ่ายมากเกินจะไปต่อได้ในเมืองกรุง แต่ผู้ชายที่เป็นแฟนก็ปล่อยมือเธอไป เพียงเพราะเจอผู้หญิงที่ร่ำรวยกว่า
“ฉันไม่ลำบากแล้วล่ะตอนนี้ ขอบใจนะ”
ตติยากรคิดว่านิพลจะเข้าใจ เธอไม่อยากแม้จะพบหน้าเขา ไม่อยากฟังคำเห็นแก่ตัว ไม่มีความจำเป็นเลย แต่เสียงตะโกนด้านหลังยังดังตามมา
“ผมจะไม่ยอมแพ้หรอกนะ ผมจะไปหาคุณนะ อย่าใจดำนักเลย ลืมหรือไงเราเคยมาเดินเล่นที่นี่ด้วยกันบ่อยๆ นะ”
หญิงสาวรีบเดินกลับบ้าน ก็แค่เดินเล่น ไร้คุณค่าในความทรงจำ…หน้าตาอย่างเธอถึงจะไม่สวยหยาดเยิ้มแต่ไม่ได้ขี้เหร่ หุ่นอวบอัด มีแต่คนชม ทำไมนิพลไม่คิดบ้าง คงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกจะหาผู้ชายเข้ามาในชีวิต จะเข้ามาแบบไหนนั้น มันขึ้นอยู่กับเธอ
