บทที่4 จับกลุ่ม
เวลาต่อมา
“เสือ อลิน ตื่น ถึงแล้ว”
เสียงปลุกของนลินญาดังขึ้นหลังจากที่เครื่องลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตเป็นที่เรียบร้อยด้านคนถูกปลุกทั้งสองก็งัวเงียลืมตาขึ้นมาก่อนจะสะดุ้งตัวออกห่างกันราวกับโดนของร้อน
“ยัยเอเลี่ยนใครอนุญาตให้เธอมาซบไหล่ฉันห๊า”
“ใครซบ แกมากกว่าที่บังอาจมาพิงหัวฉัน” อริสาสวนกลับทั้งที่ตนอาจผิดแต่เรื่องอะไรจะยอมรับ...ไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย
“ใครกันแน่ยัยบ้าไม่รู้ทำน้ำลายไหลใส่เสื้อฉันรึเปล่า” ศารทูลเอ่ยพร้อมใช้มือปัดไปมาที่ไหลข้างที่อริสาซบราวกับว่ารังเกียจ
“นี่ไอ้แมวโอหัง ฉันไม่ใช่พวกนอนน้ำลายยืดซะหน่อย” อริสาแหวใส่อย่างมีอารมณ์ ชิชะ เธอไม่ได้เป็นคนที่นอนน้ำไหลยืดซะหน่อย ทำงี้ได้ไงกัน
“พอแล้ว ๆ รีบลงไปกันเถอะคนอื่นลงไปหมดแล้ว” สีหราชที่ถูกสั่งให้ช่วยนลินญาปลุกพี่ชายฝาแฝดกับเพื่อนสาวเอ่ยขึ้นก่อนจะลากคอคนมีศักดิ์เป็นพี่ชายฝาแฝดเดินนำออกไปอย่างเซ็ง ๆ
‘ให้ตายเหอะตอนหลับนอนซบอย่างกับในละครตื่นมาจะฆ่ากันอีกแล้ว’
“ไปกันเถอะอลิน” สาวแว่นมองตามคุณหมอหนุ่มที่มีอาการเหวี่ยง ๆ เซ็ง ๆ พาพี่ชายเดินนำหน้าไปก่อนจะหันกลับมาชักชวนอริสา
สองสาวจับจูงกันเดินตามออกมาอย่างสนิทสนมจนแทบจะคล้ายคู่พี่น้อง แม้ดูเหมือนแพนธีราจะอยู่ใกล้อริสาที่สุดแต่เพื่อนสนิทที่สุดที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องก็คือนลินญาส่วนแพนธีรานั้นเป็นเพื่อนสนิทและคุณแม่ของทุกคนในกลุ่มมากกว่าเพราะแพนธีราจะใส่ใจทุกคนส่วนยัยแว่นคนนี้มักจะเป็นคนเห็นความผิดปกติของเธอก่อนใคร
“หายไปไหนตั้งสามสี่เดือน โทรไปก็ปิดเครื่อง ไลน์ก็ไม่ตอบน้อยใจนะ” อริสาเอ่ยถามพร้อมทำท่างอน ๆ ในบรรดาเพื่อนนอกจากแพนธีราที่เจอหน้าเกือบทุกวันแล้วคนอื่นก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหรเพราะเวลาต่างไม่ตรงกันจะคุยกันทีก็ที่ไลน์กลุ่มที่เดือนละครั้งสองครั้งถึงจะได้พูดคุยกันแต่กับนลินญาทั้งสองมักจะติดต่อกันเสมอแม้ไม่ได้เจอกัน แต่มาช่วยหลายเดือนนี้ละที่นลินญาหายไปราวกับไร้ตัวตน ในวันที่เธอเจ็บที่สุดจนอยากโทรไปร้องไห้กับนลินญาอีกฝ่ายก็ไม่ตตอบกลับใด ๆ
“พอดีที่บ้านมีเรื่องอะแก รู้มั้ยว่าพ่อที่แม่บอกว่าตายไปแล้วจริง ๆ เขายังอยู่...แต่แค่มีอีกครอบครัวและยังเป็นครอบครัวที่ถูกต้องตามกฎหมายอีกต่างหาก” นลินญาบอกเล่าให้เพื่อนสาวที่ขาดการติดต่อไปได้ฟังโดยไม่รู้เลยว่าสูตินารีแพทย์หนุ่มที่เดินนำหน้าแกล้งเดินช้าเพื่อฟังเรื่องราวของเธอ เขาอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเธอที่ผ่านมาตลอดหนึ่งปีที่ไม่ค่อยได้เจอ แค่เพียงแอบฟังก็ยังดี ศารทูลที่รู้ใจน้องชายเหมือนสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องพูดได้แต่เดินไปช้า ๆ และแกล้งงัวเงีย
“อย่าคิดมากดิแกแล้ววันนั้นที่ว่าอกหักมันยังไงห๊ะ แกมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร” อริสาเอ่ยถาม ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าสีหราชคิดอย่างไรกับเพื่อนสาวเพราะตลอดเวลาที่เรียนด้วยกันเธอมักจะสนิทกับเขาพอ ๆ กับนลินญาและเหตุผลหลักที่สนิทด้วยก็คือการล้วงความลับจากฝาแฝดของคู่ปรับตามที่โบราณว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง นอกจากจะได้ความลับของศารทูลแล้วยังได้รับรู้ความรู้สึกของสีหราชที่มีต่อสาวแว่นด้วยเมื่อเห็นว่าสีหราชแกล้งเดินช้าเธอจึงไม่พลาดที่จะสอบถามเรื่องราวจากเพื่อนสาวให้สีหราชได้ยิน
“ก็ไม่เรียกแฟนหรอกเขาเป็นลูกเลี้ยงของพ่อนะเรามีน้องร่วมกันสองคนตอนเจอครั้งแรกก็ชอบเลยแต่เขาไม่ค่อยชอบหน้าฉัน คงคิดว่าฉันมาแย่งความรักน้อง ๆ ของเขามั้งแถมยังมองว่าฉันเป็นผู้หญิงง่ายๆ แต่ฉันก็ยังปลื้มเขาอยู่ดีจนสองอาทิตย์ก่อนเขาประกาศหมั้นกับเพื่อนที่ทำงานฉัน ยัยวิน่ะ...แกก็รู้ว่าฉันกับวิไม่ค่อยถูกกันฉันเลยยิ่งดูแย่และเลวในสายตาเขาอ่ะ” นลินญาพูดระบายให้เพื่อนฟังอย่างอัดอั้นด้านคนฟังอย่างอริสาได้แต่ลูบหลัง หึ...คนนึงอกหักอีกคนถูกหักหลังอะไรจะขนาดนั้น
ส่วนคนแอบฟังถึงกับโมโหหึงที่เธอในดวงใจพูดว่าชอบชายคนอื่นจนรีบกระชากคอเสื้อพี่ชายเดินออกไปอย่างรวดเร็วจนศารทูลต้องแย้งขึ้น
“ไอ้นี่เบา ๆ ก็ได้คอจะขาด”
“ขอโทษมันโมโห” สีหราชเอ่ยบอกก่อนจะเดินไปร่วมกับกลุ่มเพื่อนที่รออยู่
“ในที่สุดก็ถึงภูเก็ตแล้วทริปนี่ไม่ล่มแน่ขุ่นแม่ขา” ปริมาเอ่ยบอกหลังจากอริสากับนลินญาเดินมาร่วมวงด้วย ปริมาดีใจเป็นที่สุด ในที่สุดทริปที่เธอจัดไว้ก็พูดได้ว่าไม่ล่มแล้ว จากนี้ไปก็คือการชาร์จแบตซะที
“นั่นนะสิโล่งเลยแก นานแล้วนะเราไม่ได้มาด้วยกันครบทีม” แพนธีราเอ่ยบอกพลางนึกไปถึงระยะเวลาต่าง ๆ หลังเริ่มทำงานแต่ละคนไม่ค่อยมีเวลาทีตรงกันสักเท่าไหร เจอกันครบทีมครั้งล่าสุดก็เมื่อตอนงานแต่งงานของเธอซึ่งก็ผ่านมาตั้ง5ปีแล้ว วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษเชียวนะ
“นั่นสินะทำให้นึกถึงตอนเที่ยวด้วยกันครบทีมครั้งล่าสุด ไม่น่าเชื่อว่าเราจะคบกันมาได้นานขนาดนี้” ปุริมปรัชญ์เอ่ยขึ้นนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ภูเก็ตเป็นสถานที่ที่ทุกคนมาเที่ยวด้วยกันครบทีมครั้งล่าสุดเมื่อ5ปีก่อนทำให้นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมาได้
“นั้นสิ ไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะดึงยัยอลินกับไอ้เสืออยู่ในกลุ่มได้กว่า20ปี” เตชินทร์เอ่ยขึ้น เขากำลังคิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาและแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เขาที่คิดถึงความหลัง เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ เองก็เช่นกัน
ย้อนกลับไปยี่สิบสี่ปีก่อน
โรงเรียนอนุบาลxxx
“เอาล่ะค่ะเด็กๆ คุณครูจะให้หนู ๆ จับกลุ่มนะคะกลุ่มล่ะกี่คนก็ได้ จับกลุ่มได้แล้วต้องอยู่กับเพื่อนกลุ่มนั้นจนขึ้นประถมเลยนะคะใครทำผิดผิดทั้งกลุ่มใครทำดีได้ดีทั้งกลุ่มนะ เอาล่ะคุณครูให้เวลาจับกลุ่มหนึ่งอาทิตย์นะคะวันจันทร์หน้าทุกคนต้องมีกลุ่มแล้วในวันจันทร์ต้องออกมาแนะนำกลุ่มหน้าชั้นด้วยนะ” เสียงของคุณครูแสนสวยเอ่ยบอกนักเรียนชั้นอนุบาลสามที่เธอสองอยู่ในวันแรกของภาคเรียนที่หนึ่งก่อนจะปล่อยให้เด็ก ๆ หากลุ่มของตัวเอง
“นี่มะยุกะเลาม้าย เราจื่อแพน” เด็กหญิงแพนธีราหรือน้องแพนในวัย5ขวบเอ่ยบอกหลังจากสะกิดหลังของเด็กหญิงปริมาหรือน้องปริมที่กำลังยืนเคว้งมองหาว่าจะจับกลุ่มกับใครดี
“เราจื่อปริม”
“ไปหาคงอื่นกานเตอะ” เด็กหญิงแพนธีราเอ่ยชวน เด็กหญิงปริมาพยักหน้าก่อนะจะชี้ไปที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนม้านั่งไม่ยอมไปหากลุ่ม เด็กหญิงทั้งสองคิดกันว่าจะหาแต่คนที่ไม่เข้ากับเด็กคนอื่นและในที่สุดก็หาได้ถึงแปดคนซึ่งประกอบด้วย น้องปริม น้องแพน น้องโจที่นั่งอยู่คนเดียว น้องแฝดอุ้มแอ้มและน้องป๊อปที่ตกลงว่าจะหากลุ่มด้วยกัน น้องแบงค์ที่ติดจะพูดไม่ชัดตามอากงที่เป็นชายไทยเชื้อสายจีน และน้องเต้ยหนุ่มน้อยที่พูดออกสำเนียงทองแดงจนไม่มีใครอยากจะรับเข้ากลุ่ม
“มีแปดคงแย้ว หาอีกม้าย” เด็กหญิงปริมาเอ่ยถามทุกคนพยักหน้าก่อนจะเดินหาคนที่มาอยู่กลุ่มด้วย ตามประสาเด็ก ๆ ก็อยากจะมีกลุ่มใหญ่ ๆ ทุกคนจึงไม่หยุดแค่แปดคน
อีกฟากหนึ่ง
“เตอร้องไห้จำไม” เด็กหญิงอริสาหรือหนูอลินเอ่ยถามหลังจากเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่ม้านั่งก่อนจะยื่นอมยิ้มให้
“จอบจุนน๊า มะมีใครห้ายเยายุด้วย ฮึก เปราะเยามะมีป้อ” เด็กหญิงนลินญาหรือน้องคะนิ้งเอ่ยบอกพลางเช็ดน้ำตา
“มะเปงไย มะต้องย้อง มาเปงเพือนกับเยาจิ เยาก็ไม่มีกุ่ม เราชื่ออลินนะ เตอชื่อไยเหยอ” เด็กหญิงอริสาเอ่ยบอก
“เยาจื่อคานี้ง” เด็กหญิงนลินญาเช็ดน้ำตาก่อนจะยิ้มให้เพื่อนใหม่ของเธอ
“แม่คานี้ง น้ำค้างแข็งจั่ยมั้ย”
“แมะก้อบอกเยาอย่างน้าน”
“หนูอาลินอยู่นี่เอง มาอยู่กลุ่มกับเราไหม” เด็กชายสีหราชหรือน้องสิงห์ที่ดูจะพูดชัดถ้อยชัดคำกว่าเพื่อน ๆ เอ่ยถามลูกสาวของเพื่อนพ่อที่รู้จักกันมาต้องแต่อ้อนแต่ออกแถมยังเกิดวันเดียวกันด้วย
“จิ่ง นี่คานี้งเพื่อนอาลิน คานี้งนี่จิ่ง”
“สิงห์ เราไม่อยู่กลุ่มเดียวกับยัยอลินนะ” เสียงของเด็กชายศารทูลหรือน้องเสือดังขึ้น บ่งบอกว่าไม่ค่อยจะชอบใจหนูน้อยอริสาเท่าไหร่นัก
“จิ ค้าวม่ายยุกาบตัวหยอก เชอะไม่ง้อ” เด็กหญิงอริสาเอ่ยขึ้นก่อนจะจูงมือเด็กหญิงนลินญาออกไปจากคนที่ทำให้เธอต้องอับอายเมื่อหนึ่งปีก่อน
