บทที่27 เหม็นกลิ่นเสื้อ
ตะวันจวนเจียนจะตกดินเต็มทีแล้วคนนอนหลับไปถึงรู้สึกตัวขึ้นศารทูลรู้สึกตัวก่อนแต่ยังอิดออดไม่ยอมลุกขึ้นจากเตียง จะว่าไปแล้วตั้งแต่กลับจากไปเที่ยวภูเก็ตนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าได้พักเต็มอิ่ม รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสดชื่นทั้งที่ใช้เวลานอนไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
หรือเพราะเตียงที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาของยัยว่าที่คุณแม่มันนุ่มกว่าเตียงที่บ้านเขาถึงหลับสบายเต็มอิ่มขนาดนี้
นัยน์ตาคมมองคนที่ยังคงหลับอยู่ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ...ทำไมเขาหมั่นเขี้ยวอยากจะยื่นมือไปเขี่ยจมูกยัยว่าที่คุณแม่เล่นขึ้นมาได้นะ
ความคิดไม่ได้เป็นแค่ความคิดเมื่อนิ้วมือหยาบกระด้างยื่นไปเขี่ยจมูกคนหลับเล่นโดยไม่ลังเล มุมปากของคนหลับยกยิ้มราวกับกำลังฝันดีศารทูลยิ่งได้ใจแตะ ๆ เขี่ย ๆ อย่างต้องการแกล้งแต่แล้วเสียงหวานก็ดังขึ้น
“ตาหนูอย่าดื้อสิ ขอหม่าม้านอนนะครับ”
“บ๊องเอ้ย ฉันใช่ตาหนูของเธอที่ไหนเล่า”
“ตาหนู...เอ๊ะ นาย” ดวงตาหวานเบิกกว้างขึ้นทันทีหลังจากที่เริ่มลืมตาและคนที่เขี่ยจมูกเธอเล่นไม่ใช่ตาหนูที่เธอฝันถึงแต่เป็นไอ้แมวโอหังที่มายึดที่นอนเธออยู่นานสองนาน
“ฉันไม่ใช่ตาหนูสักหน่อยยัยเอเลี่ยน ฉันเป็นพ่อของตาหนูต่างหาก” ชายหนุ่มเอ่ยและเปลี่ยนจากการเขี่ยจมูกหญิงสาวเล่นเป็นการเคาะหน้าผากไปหนึ่งครั้ง
“โอ๊ย ไอ้บ้านี่ ฉันเจ็บนะ”
“ก็มาทึกทักว่าฉันเป็นตาหนูก่อนทำไมเล่า แล้วอีกอย่างนะไอ้สิงห์มันยังไม่ชัวร์เลยว่าลูกเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเธอเอาอะไรมามั่นใจถึงขึ้นมโนฝันว่าเป็นตาหนูฮะ”
“ฉันไม่ได้มโนฝันนะ มันฝันไปเอง”
“เหรอ งั้นฝันว่าอะไรล่ะ”
“ฝันว่าหนูแฝดเป็นผู้ชายคน ผู้หญิงคน หน้าตาน่ารักน่าชัง ยัยหนูไม่ซน แต่ตาหนูชอบแกล้ง ซนไม่หยอกละ...” หญิงสาวเอ่ยแล้วก็เงียบลง ให้ตายเถอะ ทำไมเธอต้องมาพูดเรื่องนี้ให้ไอ้หมอนี่ฟังด้วยล่ะ
“ทำไมเงียบ?”
“ทำไมฉันจะต้องมาเล่าอะไรแบบนี้ให้นายฟังด้วยล่ะ ชิ ลุกออกจากเตียงฉันไปเลยนะ”
“เรื่องอะไรฉันต้องทำตามที่เธอบอก” ชายหนุ่มยักไหล่บอก ไม่มีทีท่าจะลุกจากเตียงแม้แต่น้อย “ว่าแต่เธอหิวมั้ย?”
“ไม่...” หญิงสาวตอบเสียงชัดแจ๋วแต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นเพราะกะเพาะเจ้ากรรมมันดังรู้สึกว่าง ๆ ‘แต่จะว่าไปก็รู้สึกขึ้นมานิด ๆ เหมือนกัน’
“เธอไม่หิวแต่ฉันว่าลูก ๆ หิวนะ ออกไปหาอะไรกินกันมั้ย?”
“หมูกระทะ” หญิงสาวเอ่ยสั้น ๆ แต่ถ้าไม่โง่จนเกินไปก็คงจะพอเข้าใจว่าคนปากหนักต้องการกินอะไรและถ้าโอเคก็จะยอมไป
“หมูกระทะก็ได้”
“ไปกินหมูกระทะคนน้อยมันไม่สนุก”
“งั้นเดี๋ยวฉันโทรตามคะนิ้ง กับหมอสิงห์ด้วยแล้วกัน” ศารทูลผู้ยอมอ่อนให้หญิงสาวไม่น้อยเอ่ยก่อนจะล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมา
“แค่นั้นก็ไม่สนุกหรอก”
“งั้นก็เรียกมายกแก็งเลย เอางั้นมั้ย”
“อือ” เธอตอบแล้วก็ลุกจากเตียงตรงดิ่งไปยังห้องน้ำทันที ศารทูลเปลี่ยนจากจะโทรหาน้องชายและเพื่อนสนิทเป็นการเข้าไลน์กลุ่มชักชวนเพื่อนฝูงไปกินหมูกระทะร้านประจำสมัยเรียนแทนโดยไม่ได้บอกเหตุผลอะไรมากไปกว่า...เกิดอยากจะกิน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
อริสามองสายตาสงสัยของบรรดาเพื่อนฝูงที่มองมาด้วยใบหน้าปั้นยาก เธอก็ลืมคิดไปว่าการชวนเพื่อนมาและเธอมาถึงร้านพร้อมกับศารทูลอาจจะสร้างความสงสัยให้แก่เพื่อน ๆ
“นี่มันยังไงวะ อธิบายความสัมพันธ์ด้วยครับคุณเพื่อน กระผมงง” เตชินทร์ที่มาก่อนเพื่อนฝูงเพราะอยู่ใกล้ร้านที่สุดเอ่ยถามหลังจากที่เพื่อน ๆ มากันครบแล้ว
“นั่นดิ ใครวะเคยพูดว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลายยังไงก็จะไม่ไปไหนมาไหนด้วยกันแน่นอน แล้วนี่มันอะไรกัน” ปุริมปรัชญ์เป็นอีกคนที่เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าคาดคั้น
“คือ...คือ...คือว่า”
“ฉันกับยัยนี่คบกันอยู่น่ะ” ศารทูลเอ่ยพร้อมกับยักไหล่ “ก็แบบไอ้หมอสิงห์กับยัยคะนิ้งไง”
“ไม่เหมือน!!!” เพื่อนแทบทุกคนประสานเสียงกันแทบจะเป็นเสียงเดียวคัดค้านชายหนุ่มจนศารทูลต้องถอนใจพรืด
“จะพูดว่ายังไงดีล่ะ คือแบบ...แบบว่า...”
“เฮ้ย เพื่อนกันเปล่าวะ ทำไมมีอะไรไม่พูดวะ” เจตรินเอ่ยอย่างเริ่มขัดเคือง อริสาฟังคำเพื่อน ๆ แล้วก็นึกเสียใจ อาจจะเพราะช่วงนี้ฮอร์โมนเปลี่ยนอารมณ์เธอจึงได้อ่อนไหวนัก การได้ยินเพื่อนตัดพ้อมันทำให้เธอรู้สึกไม่ดีที่จะปิดบัง
“ฉันท้อง” ในที่สุดอริสาก็พูดออกไปทำเอาเพื่อน ๆ ถึงกับอ้าปากค้าง
“กับใคร?”
“ฉันเอง” เมื่อหญิงสาวกล้าที่จะพูดศารทูลก็กล้าที่จะยืดอกรับ “ความจริงก็คือฉัน...ทำยัยนี่ท้อง”
“เรื่องมันเป็นมายังไงวะ เห็นจะกินหัวกันอยู่แล้ว ไปป๊ะกันตอนไหนเนี่ย”
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้...” ชายหนุ่มบอกเล่าโดยไม่ปิดบังกับเพื่อนฝูงกลุ่มนี้แตกต่างจากเพื่อนกลุ่มอื่นและแตกต่างจากครอบครัวจึงไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังกัน
“อย่างนี้เอง คะนิ้งนะคะนิ้ง เล่นอะไรก็ไม่รู้ เธอรู้มั้ยเนี่ยว่าตัวเองได้ทำให้ก่อเกิดปีศาจน้อยที่น่ากลัวขึ้นน่ะ” เตชินทร์เอ่ยคล้ายตำหนิแต่ฟังจนจบแล้วคล้ายเป็นการพูดเล่นเสียมากกว่า
“ถ้าแกว่าลูกฉันเป็นปีศาจน้อยอีกคำเดียวแกเจอดีแน่” คุณแม่ที่ส่อแววหวงลูกขั้นหนักเอ่ยพร้อมกับมองเพื่อนตาเขม่น ลูกเธอใครอย่าแตะ รู้กันไว้ซะ
“นี่เพื่อนเอง”
“เพื่อนก็เพื่อนสิ ถ้าใครมาว่าลูกฉันแล้วล่ะก็แม่ไม่เอาไว้แน่”
“เว่อร์” คราวนี้เพื่อน ๆ ว่าให้เป็นเสียงเดียวกันก่อนจะยิ้มในเชิงเอ็นดูว่าที่คุณแม่
ทว่าว่าที่คุณแม่กลับไม่ขำด้วย หญิงสาวทำหน้ามุ่ยปริ่ม ๆ จะร้องไห้ก่อนจะเอ่ย “เออ อลินมันเว่อร์ อลินมันเล่นใหญ่ ฮึก”
เพราะอยู่ ๆ ว่าที่คุณแม่ที่เพื่อนเพิ่งรู้หมาด ๆ ก็ทำทีจะร้องไห้เพื่อน ๆ จึงพากันทำอะไรไม่ถูก ทว่าไม่ทันที่หญิงสาวจะได้งอแงมากไปกว่านี้เนื้อหมูหอมกรุ่นก็ถูกวางลงบนจานของหญิงสาวอาการคล้ายจะเกิด ดราม่าชะงักไปทันที
“อะ สุกพอดี” เป็นศารทูลนั่นเอง ชายหนุ่มคีบเนื้อหมูมาให้อีกสองถึงสามชิ้นอาการจะร้องไห้ของหญิงสาวจึงหายไปเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวรีบจัดการกับเนื้อหมูหอมกรุ่นทันทีด้วยใบหน้าพอใจ
“เหมือนไอ้เสือจะเอาอยู่” เจตรินเอ่ยเสียงเบา
“ก็ไม่แน่เสมอไป ไอ้เสือมันจะเอาอยู่ได้สักกี่น้ำกัน” เตชินทร์แสดงความคิดเห็นบ้าง
“พวกนายน่ะเลิกซุบซิบแล้วลงมือจัดได้แล้ว เห็นใจคนมีลูกมีสามีรออยู่บ้านด้วย” แพนธีราแทรกขึ้นก่อนจะคีบนั่นคีบนี่ให้อริสา “จัดเยอะ ๆ เลยแก วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“ถูกหวยมาเหรอแพน ขี้งกตัวแม่อย่างแกเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูงเนี่ย?” อาริตาเอ่ยบ้าง
“ก็ไม่ได้ถูกหวย ก็แค่ดีใจกับเพื่อนที่เป็นฝั่งเป็นฝากันสักที” แพนธีราตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฉันไม่รู้นะว่าพวกแกรู้สึกยังไง แต่ฉันดีใจนะที่พวกแกมาลงเอยกันแบบนี้น่ะ ต่อไปนี้แกมีลูกต้องคอยห่วงคอยดูแลแกคงไม่มีเวลาเฮิร์ทกับสิ่งที่สองคนนั่นทำกับแกแล้วล่ะอลิน ส่วนเสือ...ฉันว่านะการมีลูกดีกับคนกล้าไม่กลัวตายแบบแก จะได้รู้จักระมัดระวังตัวเพื่อกลับมาเจอลูกบ้าง”
“จะเป็นพ่อเป็นแม่คนกันแล้วอะไรควรวางก็วางเถอะ เลิกทะเลาะกันได้แล้วนะ ฉันเชื่อว่าถ้าพวกแกปรับตัวเข้าหากันครอบครัวของพวกแกจะต้องมีความสุข เชื่อสิ”
“แม่ก็คือแม่” ปริมาพึมพำเมื่อแม่ของชาวแก็งให้โอวาทสั่งสอนลูก ๆ เสียยืดยาว
“เออ ฉันน่ะแม่พวกแก แล้วตอนนี้ฉันก็จะกินแล้ว ใครไม่กินหมดไม่รู้ด้วยนะ” แม่ของทุกคนเอ่ยก่อนจะเริ่มลงมือจัดการกับบุฟเฟ่ต์หมูกระทะที่มื้อนี้แพนธีราผู้ขี้งกออกปากเป็นเจ้ามือ
บรรยากาศเฮฮาเกิดขึ้นในเวลาต่อมา การได้เจอเพื่อนมักทำให้ความเครียดบรรเทาลงได้ อริสาที่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อเมื่อได้เจอเพื่อนก็ผ่อนคลายขึ้นแต่ทว่าเวลาสุขสันต์ก็มักจะจบลงอย่างรวดเร็ว เพราะแต่ละคนมีหน้าที่การงานมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำอยู่สังสรรค์กันไม่นานก็ต้องแยกย้ายกัน
อริสาที่อิ่มแปร๋นอนแผ่ลงบนเตียงด้วยใบหน้าผ่อนคลายทว่าเมื่อศารทูลที่หิ้วกระเป๋าสัมภาระซึ่งสีหราชนำมาให้ที่ร้านเข้ามาภายในห้องใบหน้าอิ่มเอมผ่อนคลายก็ตึงขึ้นฉับพลัน
“ในกระเป๋ามีอะไรน่ะ?” แม้จะถามไปแบบนี้แต่เธอก็อยากจะพูดต่อว่าทำไมมันถึงเหม็นแปลก ๆ
“เสื้อผ้าฉันน่ะสิถามได้”
“เอามานี่” หญิงสาวสั่ง “บอกให้เอามานี่”
“ครับ ๆ” ชายหนุ่มตอบรับอย่างเสียมิได้พร้อมกับนำกระเป๋ามาวางลงตรงหน้าหญิงสาว อริสาเปิดกระเป๋าพร้อมกับหยิบเสื้อที่อยู่บนสุดขึ้นมาดมก่อนจะโยนลงจากเตียงและหยิบเสื้อผ้าชิ้นอื่นขึ้นมาทำเช่นเดียวกัน
ศารทูลอ้าปากค้างกับสิ่งที่หญิงสาวทำอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหลุดปากถามออกไปได้ในที่สุด “เธอทำอะไรของเธอเนี่ย”
“ฉันเหม็นกลิ่นเสื้อพวกนี้”
“เหม็นกลิ่นเสื้อ?” จะว่ายากจะเชื่อก็ใช่ แต่ก็ไม่เชื่อไม่ได้เพราะหญิงสาวโยนทิ้งแต่เสื้อ ขณะที่กางเกงยังคงถูกวางไว้บนเตียง
“มันเหม็นจนจะอ้วก ห้ามนายใส่เสื้อพวกนี้มาใกล้ฉันนะ”
“แป๊บนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเพียงเท่านั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาแฝดผู้น้องทันที เขาไม่มั่นใจว่าไอ้เหม็นกลิ่นเสื้อนี่มันมีจริงหรือไม่ เขาไม่เคยได้ยินเลย เกิดมาแม่ไม่เคยพูดให้ฟังว่าคนท้องจะเหม็นเสื้อด้วย
“หมอสิงห์ให้ถามว่าเธอเหม็นเสื้อทุกตัวหรือเหม็นแต่เสื้อฉัน?”
“แค่เสื้อนาย มันเหม็นมาก มากจนอยากเอาไปเผาทิ้งให้หมดเลย” หญิงสาวตอบกลับ “แต่กางเกงกับผ้าเช็ดตัวไม่เป็นไรนะ”
“เธอลองดมเสื้อตัวที่ยังอยู่ในถุงสิ ฉันเพิ่งซื้อมาไม่กี่วันยังไม่ได้ใส่ มันเหม็นมั้ย?”
อริสาทำตามอย่างไม่อิดออดก่อนจะส่ายหน้า “ตัวนี้ไม่เหม็น แต่ตัวนี้เหม็น และเหม็นมากกว่าตัวอื่นด้วย”
ศารทูลเลิกคิ้วก่อนจะเดินเข้ามาหยิบเสื้อตัวที่หญิงสาวบอกว่าเหม็นมากขึ้นมาพิจารณา เขาไม่คุ้นเสื้อตัวนี้แม้แต่น้อยและจำได้ว่าไม่เลือกเสื้อแบบนี้มาแน่ ๆ “เสื้อตัวนี้มาได้ยังไง ฉันไม่ได้ซื้อมานะ?”
“มีการ์ดด้วยนะ” อริสาส่งเสียงขึ้นเมื่อเห็นว่าในถุงมีการ์ดเล็ก ๆ อยู่ด้วยก่อนจะเปิดอ่านเสียงดังฟังชัด “เสื้อตัวนี้น่าจะเหมาะกับคุณ ถือว่าฉันให้เป็นของขวัญเนื่องในโอกาสที่เราได้รู้จักกันนะคะ จาก ซากิโกะ เหอะ แฟนซื้อให้ทำเป็นงง”
“เขาไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย” ชายหนุ่มแย้งพร้อมกับฉวยเสื้อและการ์ดเก็บใส่ถุงเหมือนเดิมและพาไปตั้งไว้บนโต๊ะ
