บทที่21 ห่วง
แม้จะถอยทัพกลับแต่คณะของบ้านบดินทร์นุกูลก็ยังไม่ได้แยกย้ายกันไป ทุกคนในบ้านรวมตัวกันอยู่ภายในห้องนั่งเล่นด้วยความตึงเครียด เพราะคุณหมอกานต์รวีและสิรินทรายังไม่เข้าใจชัดเจนสองแม่ลูกจึงทำการคาดคั้นซักฟอกพ่อตัวดีทันทีว่าทำไมถึงไปทำคู่ปรับท้องได้
ศารทูลที่ถูกคาดคั้นบอกกับแม่และน้องสาวไม่ต่างจากที่พูดกับพ่อและเพื่อนพ่อขณะที่สีหราชนั้นรู้สึกขัดใจไม่น้อยแต่ก็ไม่โต้แย้งอะไร
“ทำไมเพิ่งมาพูด แม่สอนปากจะฉีกถึงหูให้ลูกเป็นสุภาพบุรุษ แต่นี่อะไรปล่อยเรื่องมาจนท้องจนไส้ แม่ผิดหวังในตัวเสือจริง ๆ” คุณหมอกานต์รวีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยตำหนิเมื่อได้ฟังเรื่องราว สิ่งเดียวที่เธอไม่พอใจก็คือการที่ลูกชายของเธอไม่กระตือรือร้นจะรับผิดชอบกันตั้งแต่เรื่องเกิดใหม่ ๆ แต่ปล่อยเลยมาจนอริสาท้องไส้แบบนี้
“ก็เขาหลบหน้าผมนี่ครับแม่ วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกที่ผมได้เจอเขาเลย”
“แต่ก็เจอพ่อเขาทุกวันนี่”
“โธ่แม่” ชายหนุ่มได้แต่ถอนใจ ไม่รู้จะบอกยังไง จะให้พูดถึงงานที่เขาทุ่มเทเวลาไปกับการกวาดล้างไอ้ยานรกนั่นก็กลัวจะถูกสงสัยจนเป็นเหตุให้เรื่องราวที่เขาไม่ได้พูดถูกเปิดเผยออกมา
“เอาเถอะกานต์ ยังไงมันก็ผ่านมาแล้ว เราอย่าพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วเลย มาสนใจปัจจุบันและอนาคตดีกว่า ที่สำคัญตอนนี้คือหลาน” ท่านสัตยาปรามคนเป็นภรรยาก่อนจะเบนสายตามาหาลูกชาย “แกจะเอายังไงต่อไป”
“เอายังไงล่ะ ผมก็ต้องหาทางทำให้ลูกผมมีทั้งพ่อทั้งแม่และไม่ได้เป็นลูกนอกสมรสน่ะสิ”
“แม่กับพ่อจะช่วยเอง”
“ไม่กานต์ ไม่ได้ ขืนเราเข้าไปเกี่ยวไอ้อรรคได้อาละวาดสิ เราต้องอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้ไอเสือมันจัดการของมันเอง มันผูกเองมันก็ต้องแก้เอง” ท่านสัตยาแย้งขึ้นก่อนที่จะสั่งให้แยกย้ายกันไป
ขณะที่สิรินทราและผู้เป็นพ่อเป็นแม่แยกย้ายไปแล้วโดยไม่คิดที่จะทานอาหารมื้อเย็นสีหราชยังคงอยู่และมองแฝดผู้พี่ราวกับคนไม่รู้จัก “ทำไมแกถึงบอกทุกคนไปแบบนั้น?”
“แบบนี้ดีแล้วไอ้สิงห์ ดีกับคะนิ้งและอลินที่สุดแล้ว” คนเป็นพี่ตอบกลับ เหตุผลหลักที่เขาโกหกไปว่าทุกอย่างเป็นเพราะเขาก็เพราะเขาไม่อยากให้ใครมองนลินญาไม่ดีโดยเฉพาะพ่อแม่ของเพื่อนสนิทรวมไปถึงพ่อแม่ของแฟน มันอาจจะเป็นเขาคิดมากไปแต่กันไว้ย่อมดีกว่าแก้
“คะนิ้งก็เหมือนน้องของฉัน และน้องของฉันคนนี้รักแกมาก ฉันไม่อยากให้คะนิ้งถูกพ่อกับแม่มองไม่ดี จะยาปลุกหรือยาถ่ายมันก็ไม่ดีกับคะนิ้งทั้งนั้น ฉันยอมเป็นคนที่ถูกด่าเพื่อความรักของแกกับคะนิ้งเชียวนะ อย่าทำให้ฉันผิดหวัง” ศารทูลเอ่ยพร้อมยิ้มน้อย “เอาเวลาไปหาทางเข้าหาครอบครัวคะนิ้งดีกว่านะ ส่วนเรื่องของฉันกับอลิน ฉันจัดการเอง ฉันเก่ง ฉันทำได้”
“พูดมาเกือบจะซึ้งแล้ว มาหมั่นไส้ตรงบอกว่าตัวเองเก่งนี่ล่ะ ถุ้ย ทำได้ก็ทำไปเถอะ ใครบอกว่าฉันจะไปยุ่งเรื่องของแก ฉันอยู่ข้างอลินกับหลานต่างหากล่ะ”
“เออ ๆ อยู่ข้างไหนก็อยู่ แต่ตอนนี้ไปนอนไป ฉันก็จะไปนอนเหมือนกัน” คนเป็นพี่พูดก่อนจะเดินนำน้องชายขึ้นบันไดไป สีหราชมองตามก่อนจะตามขึ้นไป เขาเชื่อในตัวศารทูล ถ้าเมื่อไหร่ที่พูดว่าตัวเองเก่งและทำได้แล้วล่ะก็นั่นหมายความว่าต่อให้เจอเรื่องยากขนาดไหนศารทูลก็จะไม่ถอยจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จตามเป้า
พี่ชายของเขาเป็นคนที่จริงจังกับสิ่งที่ตั้งใจทำมาก ไม่มีทางยอมถอดใจหรือเปลี่ยนใจง่าย ๆ แค่นี้เขาก็เบาใจได้แล้วว่าอริสากับหลานของเขาจะต้องได้มาใช้นามสกุลบดินทร์นุกูลอย่างแน่นอนไม่มีผิดพลาด...เพียงแค่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย
แต่ถ้ามันช้าเกินไปเขากับนลินญานี่ล่ะที่จะเป็นทัพเสริมคอยช่วยเหลือ ส่วนพ่อแม่กับน้องสาวน่ะให้เป็นทัพหลังไปก่อนถ้าทัพหน้าและทัพเสริมไม่ไหวจริง ๆ ค่อยเคลื่อนพล
กลางดึกสงัดขณะที่คนในบ้านหลับไปแล้วทัพหน้าของบ้านกลับย่องออกจากบ้านด้วยชุดดำอำพรางกายให้เข้ากับความมืด เขาออกจากบ้านโดยไม่มีใครรู้และปีนเข้าบ้านผู้บังคับบัญชาโดยไม่มีผู้ใดเห็นเช่นกัน
ชายหนุ่มในชุดดำเดินลัดเลาะมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากระเบียงห้องห้องหนึ่งที่ไฟยังคงสว่างจ้าต่างจากห้องอื่นก่อนจะลงทุนปีนขึ้นไปบนต้นไม้นั้นด้วยท่วงท่าชำนาญและว่องไวปานลิงปานค่างจนมาถึงกิ่งก้านที่ทอดยาวยื่นไปใกล้กับระเบียงห้องนั้นก่อนจะโหนตัวเข้าไปยืนอยู่บนระเบียงนั้น
ต้นไม้ต้นนี้เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ และจำได้ดีว่าเป็นต้นไม้ที่อยู่ตรงกับระเบียงห้องของลูกสาวของบ้านพอดิบพอดี
เมื่อมายืนอยู่บนระเบียงห้องได้ศารทูลก็ได้แต่ทอดถอนใจกับตัวเอง ให้ตายเถอะ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมาปีนห้องคู่อริแบบนี้
แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะใบหน้าที่ซีดจนน่าเป็นห่วงของอริสาในตอนที่เรื่องที่เธอท้องถูกเปิดเผยออกมามันกวนใจเขาจนนอนไม่หลับนี่น่า อยู่ ๆ ก็เป็นห่วงยัยคู่ปรับขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ไม่...ไม่ใช่ เขาห่วงลูกต่างหากกลัวว่ายัยผู้หญิงใจร้ายจะทำให้ลูกของเขาไม่สบายไปด้วยต่างหากล่ะ ไม่ได้ห่วงยัยแม่ใจร้ายของลูกเลย
ก๊อก ๆ ๆ
เมื่อเห็นว่าไฟในห้องยังเปิดอยู่ชายหนุ่มจึงเคาะประตูกระจกที่เชื่อมกับระเบียงแทนที่จะหาทางแงะเข้าไปรอไม่นานร่างบางก็เปิดประตูทว่าคนที่เปิดนั้นไม่ใช่คนที่เขาต้องการจะเจอ
เป็นคุณตันหยงที่เปิดประตูและยืนกอดอกมองมาที่เขาด้วยมาดคุณครู...ศารทูลฉีกยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้ทันทีที่เห็นท่าทีนั้น
ความจริงแล้วเขาไม่กลัวท่านอาทิตย์เลยนะ เพราะท่านก็มีนิสัยคล้ายพ่อเขา แต่คนที่เขาหวาด ๆ จริง ๆ คือคนที่ปกติยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างคุณตันหยงหรือที่ช่วงหนึ่งเขาเรียกอีกฝ่ายว่าคุณครูตันหยงต่างหากล่ะ
แม่ยาย (โดยไม่ได้ตั้งใจ) ของเขาเป็นอดีตครูโรงเรียนประถมที่ฟาดเขาได้เจ็บที่สุด เป็นคนที่วางมาดคุณครูทีไรเขาเสียวสันหลังทุกที ขนาดที่เลิกเป็นครูตั้งแต่อินทัชอายุ10ขวบเขาก็ยังคงกลัวอยู่ไม่เปลี่ยน เวลายิ้มแย้มน่ะคุยกันได้ดีอยู่หรอกแต่เวลาวางมาดแบบนี้...ขนแขนลุกชันไปหมดแล้ว
“คิดไว้แล้วไม่มีผิด นี่คุณสารวัตร คุณไม่รู้เหรอว่าเข้าบ้านคนอื่นในยามวิกาลโดยไม่ได้รับอนุญาตน่ะมันผิดกฎหมายนะ”
“ผะ ผมแค่...”
“เป็นห่วงเมีย?”
“ผะ ผมห่วงลูก” ชายหนุ่มแย้งก่อนจะเจอคุณครูสมัยประถมค้อนเข้าให้
“หึ จะห่วงลูกห่วงเมียก็ช่างเถอะ แต่อลินน่ะร้องไห้จนหลับไปแล้วล่ะ ถ้าจะคุยไว้วันหลังดีกว่านะ”
“ร้องไห้เหรอครับ? อลินเนี่ยนะ”
“นี่ ๆ มีแม่กับน้องชายเป็นหมอสูติฯเสียเปล่าไม่รู้รึไงว่าคนท้องน่ะอารมณ์อ่อนไหว มีอะไรกระทบนิดหน่อยก็บ่อน้ำตาแตกแล้วล่ะ”
“ถึงจะมีแม่มีน้องเป็นหมอแต่ผมก็ไม่ใช่หมอนี่ครับ ผมจะไปรู้ได้ยังไงเล่า จริงมั้ย”
“เหอะ ไม่ไหวเล้ย” แม่ของเจ้าของห้องว่าให้ด้วยท่าทีสบายกว่าตอนแรก ท่าทีของท่านเหมือนไม่ได้ขุ่นเคืองใด ๆ ต่างไปจากคนเป็นสามีที่รายนั้นเคืองจนไม่อยากมองหน้าผู้ชายผู้เป็นพ่อของหลาน
