ตอนที่ 2 อ้าวเฮ้ย 2
บาร์เหล้าข้างโฮมสเตย์ชวนชมเป็นบาร์ไม้เล็ก ๆ ที่ตกแต่งด้วยของใช้พื้นบ้านที่ทำจากไม้ ใช้ไฟกะพริบหลาย ๆ สี ประดับไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้ร้านดูมีสีสันรวมทั้งใช้มันให้แสงสว่าง ซึ่งมันก็สว่างไม่มากนัก
รพีกรเดินนำไปที่โต๊ะริมติดกับทางเดินเลียบแม่น้ำโขง ตรงนี้ลมหนาวโชยเข้ามาเป็นระยะ บรรยากาศน่าสบาย แต่ติดที่หนาวไปหน่อย
“มานั่งตรงนี้สิ”
แต่คานส์ที่ตัวใหญ่กว่ารั้งให้รพีกรมานั่งด้านใน แล้วเขาก็พาตัวเองไปนั่งบังลมให้
รพีกรยกฝ่ามือทั้งสองข้างมาถูกัน ก่อนจะเอามันซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแขนยาวไหมพรมที่เขาสวมทับมา
“คุณไม่หนาวเหรอ?” รพีกรอดห่วงอีกคนไม่ได้ เพราะเขาสวมแค่เสื้อฮาวายเนื้อบางที่มันปลิวตามลมพั่บ ๆ ตลอดเวลา สงสัยคานส์คงเพิ่งเดินทางมาจากทางใต้ ชายทะเลที่ไหนสักแห่ง หรือไม่เขาก็คงชินกับอากาศหนาว ๆ
“ถ้าหนาวจะให้กอดหรือไง?”
คนถามถามได้หน้าตาเฉยมาก แต่คนได้ยินรีบหันขวับอย่างไม่เชื่อหู
‘อ่อยกูเหรอวะ?’
และสายตาของรพีกรก็อดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในสาบเสื้อฮาวายที่มันถูกปลดกระดุมไว้ตั้งสองเม็ด ยามถูกแรงลมพัดมันก็สะบัดเปิด ๆ ปิด ๆ
เขารีบเบือนหน้าหนี เมื่อคานส์เริ่มมองตามสายตาของเขา โชคดีที่เจ้าของร้านตะโกนมาจากหลังเคาน์เตอร์
“พวกมึงสองคนจะแดกอะไร?”
ภาษาที่ใช้อาจจะฟังดูไม่เป็นมิตรนัก แต่ดูจากสายตาและท่าทางของเจ้าของร้านที่ให้ความเป็นกันเองจนรพีกรรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
“เข้าร้านเหล้าก็ต้องแดกเหล้าดิพี่” รพีกรสวนกลับในทันที
ในขณะที่คานส์กระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ เจ้าของร้านอย่างยักษ์ก็รู้สึกชอบใจเช่นกัน จากที่อารมณ์เสียเพราะลูกค้าเข้าร้านตอนที่เขากำลังจะปิด ก็นึกสนุกอยากจะก๊งเหล้ากับมันสักขวดสองขวด
ไม่นาน เหล้า โซดา น้ำแข็ง ก็ถูกยักษ์กระแทกลงตรงหน้าของรพีกร
“กูลดให้ 50% แต่กูแดกด้วย”
รพีกรรีบคำนวณแบบหารสาม พอคิดได้ว่าคุ้มก็รีบพเยิดหน้าให้
“พี่เป็นเจ้าของร้านอ่อ ชื่อไรอะ?”
“กูชื่อยักษ์ พวกมึงอะ?”
“ผมโรม ส่วนนี่คานส์” รพีกรแนะนำตัว และไม่ลืมที่จะแนะนำคนตัวใหญ่ที่มาด้วย
“เพื่อน พี่น้อง หรือผัวเมีย?” ยักษ์ถามตรง ๆ ขณะชงเหล้าให้ “ที่ถามเนี่ยไม่ได้อะไร กูจะได้วางตัวถูก”
“ไม่ใช่ทั้งสามอย่างอะ” รพีกรปฏิเสธ ในขณะที่คานส์ยังนั่งฟังนิ่ง เขาทำเพียงรับแก้วเหล้าที่ยักษ์ยื่นให้แล้วพยักหน้าเป็นการขอบคุณ
“ฮะ… มันมีความสัมพันธ์แบบอื่นอีกเหรอวะ อย่าบอกนะว่าพวกมึงสองคน…” ยักษ์ยกนิ้วขึ้นชี้หน้ารพีกรกับคานส์สลับกัน “เป็นพ่อลูกกัน”
“จะบ้าเหรอพี่ พวกผมดูอายุห่างกันขนาดนั้นเลยเหรอ” รพีกรหลุดขำ พลางก็เอี้ยวใบหน้ามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคานส์ที่เขาคำนวณอายุไว้ไม่น่าจะเกินสามสิบ
“กูสามสิบหก น่าจะแก่กว่าพวกมึงอะ” ยักษ์บอกอายุตัวเองก่อน
“ผมยี่สิบสี่” รพีกรบอกบ้าง ก่อนที่ทั้งสองจะช้อนสายตาขึ้นไปจ้องคนที่ยังไม่ยอมพูดอะไรเลยในวงสนทนา
“ยี่สิบเก้า” คานส์ตอบหลังถอนแก้วเหล้าออกมาจากปาก เขาวางมันลงบนโต๊ะแล้วสบตารพีกรที่ยังคงจ้องเขาไม่วางตา ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วถาม “ทำไม?”
“ผัวเมีย!” ยักษ์โพล่งขึ้นมาหลังสังเกตอากัปกิริยาของสองหนุ่มตรงหน้า พลันเขาก็สะดุ้งแล้วลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เมื่อได้ยินเสียงเด็กร้อง “แป๊บหนึ่งนะ ลูกกูตื่นว่ะ” แล้วยักษ์ก็วิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนของบาร์
ที่โต๊ะริมจึงเหลือเพียงรพีกรที่ขำค้างกับท่าทางของยักษ์กับรอยยิ้มมุมปากของคานส์ที่มองคนข้าง ๆ ด้วยแววตาพราวระยับ พอรพีกรหันกลับมา เขาก็เสยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม รพีกรเห็นดังนั้นก็ยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่มบ้าง
บาร์ไม้ริมโขงเหลือเพียงโต๊ะของสองหนุ่มต่างถิ่นที่จำต้องทำหน้าที่แทนยักษ์ที่หายขึ้นไปชั้นบน ตอนแขกโต๊ะอื่นจะกลับก็เรียกทั้งสองไปเก็บเงินเพราะเห็นเจ้าของร้านมานั่งร่วมโต๊ะจึงคิดว่าพวกเดียวกัน คานส์ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาอาสาไปจัดการให้โดยดูจากราคาที่แปะไว้หน้าเคาน์เตอร์ รพีกรมองเพลินพลางก็ดื่มไปเรื่อย เมื่อคานส์กลับมาอีกครั้งใบหน้าของคนนั่งรอก็แดงก่ำเพราะซดเหล้าไปหลายแก้ว
“แม่ผมจะแต่งงานใหม่” รพีกรเริ่มพูดความในใจ คานส์จึงลากเก้าอี้เข้ามาใกล้ ใช้ฝ่ามือลูบแผ่นหลังบอบบางเป็นเชิงว่าให้ระบายออกมา “แล้วแม่ก็กำลังจะมีเบบี๋ อึก” เล่าไปก็สะอึกไป “แต่เรื่องพวกนี้น่ะจิ๊บ ๆ” ตัวของรพีกรเริ่มโงนเงน แต่ก็ยังยกแก้วขึ้นดื่ม “ผมมีอีกเรื่องที่ไม่เคยบอกใคร แม้แต่ไอ้วินก็ไม่รู้”
“เรื่องอะไร?” คานส์หลอกถาม พลางก็ชงเหล้าเพิ่มให้ ไม่ได้ตั้งใจจะมอมหรอกนะ เขาแค่อยากรู้ว่ารพีกรมีเรื่องอะไร
“คนที่ผมแอบรัก เขากำลังจะแต่งงาน” แล้วหลังจากนั้นเรื่องราวที่อัดอั้นตันใจของรพีกรก็พรั่งพรูออกมา มันเป็นเรื่องราวที่เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เขาบอกกับคานส์ว่าเขาจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย จะเสียใจเป็นครั้งสุดท้าย เขาจะใช้ชีวิตตลอดหกวันที่นี่ให้สุดเหวี่ยง แล้วกลับไปใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองของพ่อเลี้ยงมหาเศรษฐี เขาจะยื่นใบลาออกจากที่ทำงานเก่า แล้วเข้าไปช่วยงานพ่อเลี้ยงตามที่แม่ขอ ต่อไปจะได้ไม่ต้องเจอกับโต๋ในที่ทำงานอีก
คานส์รับฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตาของเขาสื่อความหมายหลายอย่างที่คนเมาอย่างรพีกรมองไม่เห็น
“ผมมีลิสต์สิ่งที่อยากทำด้วยนะ” รพีกรอวดแผนการที่ตัวเองวางไว้ พร้อมกับยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ตัวเองเขียนโน้ตตอนอยู่บนเครื่องบินให้คานส์ดู
คานส์หลุบสายตาลงมอง เขาอ่านข้อความเหล่านั้นพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ตรงมุมปาก และเมื่ออ่านถึงข้อสุดท้าย เขาก็แทบกลั้นยิ้มกว้างไว้ไม่ไหว
‘แดกเหล้าให้เมาแล้ววันไนต์สแตนด์กับใครสักคนให้ลืมโลกไปเลย’
