
บทย่อ
เพราะความเข้าใจผิด คิดว่าเธอมีเจ้าของแล้ว ทำให้ปารินทร์ ผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพไทยเจ็บลึกไปทั้งใจแต่ด้วยมนตราแห่งพื้นป่า ดลให้กุหลาบดอกงาม ตกอยู่ในมือของผู้พันหนุ่มผู้ทั้งดุดัน และเอาแต่ใจจนเธอให้ฉายาจอมมารกับเขา หากสุดท้ายจอมมารอย่างปารินทร์ก็กลายเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ปกป้องคนที่รักด้วยหัวใจ
1.บทนำ
*** ทักทายคร้า พสุธาล่ารัก เป็นนิยายรักหวานๆ ของนายทหารหนุ่มกับองค์หญิงต่างแดนค่ะ ไปติดตามกันเลยจ้า ***
บึ้มๆๆ!!...
เสียงระเบิดดังกึกก้องแว่วเข้ามาในฝั่งไทยเป็นระยะๆ ร่างสูงสง่าในชุดลายพรางทหารของพันตรีปารินทร์ อันจิมานันท์ ยืนกอดอกมองควันสีขาวที่ลอยขึ้นบนท้องฟ้าอย่างไม่สบายใจ
ดวงตาคมเข้มของผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพไทยเคร่งขรึม เมื่อคิดถึงความทุกข์ยากของชาวบ้านตามแนวตะเข็บชายแดน การกวาดล้างชนกลุ่มน้อยของประเทศเพื่อนบ้านทำให้ศูนย์อพยพเนื่องแน่นไปด้วยประชาชนตาดำๆ ที่หนีตายเข้ามาในเขตไทย หลายหน่วยงานยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติก็ได้ส่งหน่วยแพทย์อาสาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา
เสียงฝีเท้าของนายทหารต้นห้องเดินเข้ามาในห้องทำงาน ทำให้ใบหน้าคมสันต้องหันไปมอง
“มีวิทยุด่วนเข้ามาครับผู้พัน”
ไม่ต้องรอให้รายงานซ้ำ ร่างสูงสง่ารีบลงไปที่ห้องสื่อสารอย่างรวดเร็ว นายทหารที่ประจำการอยู่ลุกขึ้น ยืดตัวตรงเพื่อทำความเคารพผู้บังคับบัญชา
“เหยี่ยวลมเรียกดาวเหนือ เหยี่ยวลมเรียกดาวเหนือ ทราบแล้วเปลี่ยน” ปารินทร์เอ่ยสัญลักษณ์ตามรหัสที่รู้กันในหน่วยงาน
“มีคำสั่งจากดาวเหนือให้เหยี่ยวลมอารักขาหน่วยแพทย์อาสาของสหประชาชาติ ที่จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ตามแนวตะเข็บชายแดน” เสียงปลายสายตอบกลับมา
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ ปกติกองกำลังที่อำนวยความสะดวกกับหน่วยงานต่างๆ เป็นของอีกหน่วยหนึ่งนี่นา แต่ด้วยหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทำให้ปารินทร์ซักถามรายละเอียดที่ควรจะรู้ต่อไป
“แจ้งจำนวนเจ้าหน้าที่ด้วย”
“ห้าคน...คำสั่งจากดาวเหนือให้ปฏิบัติการครั้งนี้ให้ดีที่สุด ขอย้ำว่าให้ดีที่สุด” การย้ำคำสั่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนักในการปฏิบัติหน้าที่ หากครั้งนี้ทำให้ผู้พันหนุ่มถึงกับแปลกใจ จากนั้นการสื่อสารก็ตัดไป
ไม่ถึงสิบนาที ทหารจำนวนสิบห้านายที่เข้าร่วมภารกิจนี้ก็ออกมายืนเรียงแถวหน้าตึกทำการพร้อมสัมภาระและอาวุธคู่ใจ ผู้บัญชาการศูนย์เดินตรวจความเรียบร้อย พร้อมกับพันตรีปารินทร์ หัวหน้าหน่วยเหยี่ยวลม
“ภารกิจในครั้งนี้สำคัญกับชื่อเสียงของประเทศเป็นอย่างมาก ขอให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มความสามารถ ขอให้ทุกคนโชคดี”
สิ้นคำผู้บัญชาการศูนย์ เสียงเรียบอาวุธก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะแยกย้ายขนสัมภาระขึ้นรถจี๊ปแบบทหารไปสมทบกับหน่วยแพทย์แถบชายป่าใกล้กับตะเข็บชายแดน
“พอจะบอกเหตุผลของปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ได้ไหมครับท่าน” ปารินทร์ถามออกมาอย่างใคร่รู้ ทำให้นายพลใกล้เกษียณหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
“งานนี้เป็นปฏิบัติการณ์ลับนิดหน่อยผู้พัน ผู้ใหญ่ในกระทรวงต่างประเทศสั่งมาอีกทอดหนึ่ง เพราะหนึ่งในแพทย์อาสาเป็นบุคคลสำคัญในรัฐแถบทะเลทรายที่มีจิตอาสาขอมาทำงานนี้โดยไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย และนายพลสมานพ่อของผู้พันก็กำชับให้ทำภารกิจอย่างเต็มกำลัง”
“ประเภทอยากดังหรือเปล่าครับ” ปารินทร์ถาม เมื่อเดินไปหยุดอยู่ข้างรถ
“อยากดังแล้วลำบากคงใช้ไม่ได้กับท่านหญิงคนนี้หรอกผู้พัน เธอคงมีจิตอาสาจริงๆ”
ปารินทร์ยิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปากได้รูป ก่อนจะยืดตัวตรงทำความเคารพผู้บังคับบัญชา แล้วก้าวขึ้นไปนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ
รถวิ่งไปตามถนนลูกรังด้วยความเร็วพอประมาณเพื่อไปยังพิกัดที่นัดหมาย ดวงตาคมเข้มกวาดมองสองข้างทางอย่างระแวงระวัง เกือบสองชั่วโมงรถจึงหยุดที่ลานหินกว้างเพื่อรอรับคณะแพทย์อาสาที่เดินเท้าเข้ามา
ปารินทร์ก้าวลงจากรถแล้วมองไปรอบๆ ทหารที่ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถไปซ่อนหลังพุ่มไม้ใหญ่อย่างรู้หน้าที่
“จ่าเคลียร์รอบๆ บริเวณด้วยนะ”
“ครับผู้พัน” จ่าแสวงยืดอกรับคำสั่ง ก่อนจะพาพลทหารอีกสามนายออกลาดตระเวนใกล้ๆ จุดพัก
“น่าแปลกนะครับพี่ ปกติหน้าที่คุ้มกันหน่วยราชการคือหน่วยของผู้กองประเด็จ แต่ทำไมงานนี้ถึงเป็นหน่วยเราล่ะครับ”
ร้อยตรีอชิตะ โกมน เอ่ยถามอย่างสงสัย พลางเดินไปนั่งข้างๆ ผู้พันปารินทร์ก่อนจะส่งขวดน้ำดื่มให้ แต่ปารินทร์ยกมือปฏิเสธ
“มีพวกคุณหนูอยากดังร่วมขบวนมาด้วย ผู้ใหญ่สั่งและกำชับมาอีกที”
“ลูกท่านหลานเธอคนไหนล่ะครับเที่ยวนี้” อชิตะเอ่ยพลางถอนหายใจเบาๆ
“ท่านหญิงแถบทะเลทราย รัฐอะไรไม่รู้ จำไม่ได้” ปารินทร์ตอบเสียงเรียบเหมือนไม่ใส่ใจ ก่อนจะยกมือให้สัญญาณทุกคนซ่อนตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาใกล้
*** ขอบคุณคร้า ***
