บทที่ 16 คนสารเลวที่น่าปวดหัว
ครึ่งชั่วยามต่อมา ในที่สุดเสิ่นจวิ้นอี้ก็ต่อแถวซื้อดอกผ้าไหมได้สำเร็จ
ยู่ฉีกวางที่ร้อนรนจนเหงื่อออกมากดึงลากเขาวิ่งไปยังสำนักศึกษาหยุนลู่อย่างรีบร้อน
“พวกเราต้องรีบหน่อยแล้ว หวังว่าจะไม่ต้องเตะถ่วงถึงกลางคืน!”
สุดท้าย รอจนพวกเขาวิ่งไปถึงด้านหน้าสำนักศึกษาหยุนลู่ ก็พบว่าแถวที่ยาวเป็นหางว่าวนั้นหายไปแล้ว เหลือแค่นักเรียนอยู่ส่วนหนึ่ง และเหล่าคนที่อยู่ในชุดข้ารับใช้กำลังทำความสะอาดและรักษาแถว
ยู่ฉีกวางตาไวเห็นรอยเลือดที่พื้น
เขาดึงนักเรียนที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้ามาถามอย่างสงสัยนักว่า “สหายท่านนี้ ขอถามว่าเกิดอะไรขึ้นรึ? วันนี้มิใช่วันรายงานตัวต่อสำนักศึกษารึ? ทำไมไม่เห็นมีคนมาต่อแถวเท่าไหร่เลยล่ะ?”
“เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ม้าของรถม้าคันหนึ่งเกิดคลั่งพุ่งเข้าหากลุ่มคน ทุกคนตกใจกันยิ่งนัก ล้วนพากันหนีเอาชีวิตรอดทั้งนั้น! ตอนนั้นมีคนหนึ่งโดนม้าเหยียบด้วย และยังมีคนโดนคนที่หลบหนีเหยียบเอา โดยเฉพาะกลุ่มแถวกลางและด้านหลัง!”
“เพราะเรื่องมันหนักหนาสาหัสมาก จนสะเทือนไปถึงเจ้าสำนักของสำนักศึกษา และยังเรียกคนของทางการมาช่วยหามคนไปโรงหมอ วันนี้โรงหมอในเมืองนี้คึกคักนักล่ะ! เห็นรอยเลือดที่พื้นนั่นไหม? ได้ยินว่ามีคนโดนเหยียบจนกระดูกขาโผล่ออกมาเลยด้วยนะ!”
พูดมาถึงตรงนี้ นักเรียนที่อายุน้อยยังลูบหน้าอกอย่างตกใจไม่หาย
“พวกเรามากันช้า เลยรอดไป! ตอนนี้เลยได้มารายงานตัวตามปกติ!”
ยู่ฉีกวางตกใจมาก
เมื่อครู่พวกเขามากันเช้า ถ้าไม่ได้ไปซื้อดอกไม้ที่ร้านเครื่องประดับ ไม่แน่ว่าในหมู่คนที่ต้องเข้าโรงหมอวันนี้อาจจะมีพวกเขารวมอยู่ก็ได้!
โดยเฉพาะเสิ่นจวิ้นอี้ ขาเขายังได้รับบาดเจ็บอยู่ คิดจะหนีก็หนีไม่ทันอยู่ดี!
พอคิดอย่างนี้ ยู่ฉีกวางอดไม่อยู่ถอนหายใจโล่งอก “อาจวิ้น พวกเราช่างโชคดีมากเลยนะ!”
มันไม่สมควรนี่นา! ใครบ้างไม่รู้ว่าเสิ่นจวิ้นอี้น่ะเป็นคนดวงซวยที่สุด!
เสิ่นจวิ้นอี้ก้มหน้าลงมองดอกผ้าไหมในมือ สายตาฉายแววสับสนขึ้นมา “ไปรายงานตัวก่อนละกัน!”
เพราะว่าคนน้อย พวกเขาเลยรายงานตัวกันเร็วมาก ต่อแถวอยู่หนึ่งชั่วยามก็รายงานตัวสำเร็จ
พอได้ป้ายชื่อทำจากไม้ของสำนักศึกษามา และรู้ว่าอีกสามวันให้หลังจะเป็นวันสอบ ทั้งสองก็ไม่ได้อยู่ในเมืองต่อ และขึ้นรถม้าขากลับเลยทันที
หลังจากเจียงยิ่งหลีตกลงกับเถ้าแก่เสร็จ ก็กลับบ้านก่อน ตอนเที่ยงนางส่งอาหารเที่ยงไปให้แม่เสิ่น อีกฝ่ายไม่สนใจนาง เจียงยิ่งหลีเองก็ไม่ใส่ใจ
เหลือบเห็นท่อนฟืนในห้องเก็บฟืนใกล้หมดแล้ว เจียงยิ่งหลีลูบไขมันบนตัว ก็คิดว่า ทำงานบ้านก็เท่ากับเพิ่มการออกกำลังกายเหมือนกัน เลยไปเก็บไม้ฟืนที่หลังเขา
รอจนตะวันตกดินแล้ว นางคาดคะเนว่าเสิ่นจวิ้นอี้ใกล้กลับมาแล้ว เลยลากไม้ฟืนกองใหญ่กลับไป
สุดท้ายยังกลับไม่ทันถึงหน้าประตูบ้าน ก็เห็นนักเลงท่าทางดุร้ายสามถึงห้าคนมาห้อมล้อมเสิ่นจวิ้นอี้ไว้ และผลักเขาล้มลงกับพื้น เสื้อผ้าและห่อผ้าโดนฉีกกระจาย บนพื้นยังมีดอกผ้าไหมสีสันสดใสตกอยู่สองดอก
นักเลงตัวหัวหน้าดูแล้วอายุราวสิบสามสิบสี่ปี ผมเผ้าพันไว้ลวกๆ เสื้อผ้าก็ใส่อย่างทุลักทุเล
เขาเหยียบลงบนไม้เท้าของเสิ่นจวิ้นอี้ เขาเชิดคางใส่เสิ่นจวิ้นอี้ข่มขู่ว่า “เสิ่นจวิ้นอี้ เจ้ามันตัวซวย ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนแล้วนะว่า เจอเจ้าเมื่อไหร่ก็จะจัดการเจ้าเมื่อนั้น!เจ้าเจอข้าแล้วยังไม่รู้จักหลบหลีก เหอะ ใจกล้าโอหังเสียจริงนะ!”
เสิ่นจวิ้นอี้เม้มปากแน่น อยากจะก้มลงไปเก็บดอกผ้าไหม พวกนักเลงเห็นเขากล้าขัดขืนคำสั่ง ก็ยกเท้าเหยียบมือเขาไว้ และเอาดอกผ้าไหมอีกดอกมาเหยียบบดขยี้ไปด้วยเลย “ถุง ยังมีหน้าซื้อดอกผ้าไหม! ผู้หญิงตาบอดคนไหนกันยอมแต่งงานกับหมาขี้เรือนตัวซวยขาเป๋อย่างเจ้ากันหา!”
เจียงยิ่งหลีจำได้ว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มนักเลงอันธพาลว่างงานในหมู่บ้าน ปกติชอบลักเล็กขโมยน้อยที่สุด บางครั้งก็เคยทำตัวเป็นลูกน้องให้โรงบ่อนในตำบล ทำตัววางท่าข่มขู่คน
เดิมนางอยากเรียกคนมาช่วย แต่ได้ยินเสียงอีกฝ่าย แล้วนางรู้สึกคุ้นหูชอบกล ยังไม่ทันคิดออก ก็เห็นอีกฝ่ายลงมือเสียก่อน
นี่ยังทนได้อีก?
เจียงยิ่งหลีทนไม่ไหวอีกต่อไป คว้าไม้ฟืนท่อนยักษ์จากในกองฟืน พุ่งเข้าไปฟาดหลังอีกฝ่ายด้วยท่าทางดุร้ายทันที
“นักเลงอันธพาลจากที่ไหนกัน เจ้าต่างหากเป็นคนตาบอด กล้ามารังแกคนถึงหน้าบ้านข้า!”
เจียงชิงฐันกำลังรังแกคนอย่างได้ใจ กลับโดนคนฟาดก้นเข้าจากด้านหลัง ซ้ำยังโดนกระหน่ำตีหัว
“แม่งเอ๊ย กล้ามาตีข้า แกรู้ไหมว่าข้าเป็นใคร? ชื่อของข้าน่ะพูดออกมาให้แกตกใจ...” เจียงชิงฐันโกรธจนหันกลับมาหวังแย่งท่อนไม้ สุดท้ายพอสบตาเจียงยิ่งหลีก็อึ้งตะลึงงัน
เจียงยิ่งหลีอาศัยจังหวะนั้นเตะเขาล้มลงกับพื้น พวกนักเลงลูกน้องได้สติ ปราดจะเข้ามาช่วยจับ
เจียงชิงฐันได้สติฉับพลัน รีบร้องห้ามว่า “เดี๋ยวก่อน ไม่ ห้ามใครลงมือ นี่คนกันเองทั้งนั้น! โอ๊ย พี่หญิง พี่อาหลี ท่านอย่าตีอีกเลย ขืนตีอีกข้าได้โง่กันพอดีสิ!”
พวกนักเลงอึ้งตะลึง
เจียงยิ่งหลีตกใจเหมือนกัน ท่อนไม้ในมือหยุดลงเหนือหัวเจียงชิงฐัน นางกะพริบตาปริบๆอยู่นาน กว่าจะดึงภาพความทรงจำของคนผู้นี้ออกมาจากในสมองได้
“เสี่ยวฐัน? เจ้า เจ้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ?”
นี่คือเจียงชิงฐันที่เป็นลูกบ้านสามของตระกูลเจียง ปีนี้พึ่งครบสิบสี่ปี
เดิมเขาเป็นลูกชายของบ้านสี่ตระกูลเจียง ตอนนั้นอาสี่เจียงออกไปทำงานนอกบ้าน สุดท้ายไปเจอดินถล่ม อาสะใภ้สี่เจียงตอนนั้นท้องอยู่ก็ตกใจหนัก ตายทั้งกลมกับลูกในท้องอีกคนภายในคืนนั้น เหลือแค่ลูกชายโทนที่จำความอะไรไม่ได้อย่างเจียงชิงฐัน
พอดีว่าอาสะใภ้สามเจียงมีแต่ลูกสาวสองคน นางเห็นเจียงชิงฐันน่ารักเฉลียวฉลาด เลยขอร้องท่านปู่ทวดเจียงให้ยกลูกชายมาให้บ้านสาม สุดท้ายท่านปู่ทวดเจียงเลยให้เป็นรวมกันสองบ้าน
แต่แล้วใครเลยจะคิดว่า เจียงชิงฐันย้ายมาได้ไม่ถึงสองปี อาสะใภ้สามเจียงก็คลอดลูกชายออกมา
ดังนั้นเจียงชิงฐันเลยกลายเป็นตัวปัญหายุ่งยาก อาสะใภ้สามเจียงสนใจแต่ลูกตัวเอง วันๆเอาแต่คิดว่าเขาซุกซนร่าเริงเกินไป ไม่ด่าทอก็ทุบตีเขาทุกวัน จนเขามีชีวิตเหมือนเด็กไร้บ้าน
อาจเพราะทั้งสองมีชะตากรรมคล้ายๆกันกระมัง เจ้าของร่างเดิมเจียงยิ่งหลีอายุมากกว่าเขาหลายปี มักจะคอยช่วยเหลือน้องชายคนนี้เสมอ อย่างเช่นมักจะประหยัดของกินของตนให้เขา ซ้ำยังบอกให้เขาขยันหาทางก้าวหน้าเสมอ
นานวันเข้าเจียงชิงฐันก็สนิทสนมกับนาง
ทั้งสองมิใช่พี่สาวน้องชายพ่อแม่เดียวกัน แต่รักใคร่สนิทสนมกันเสียยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ
เจียงชิงฐันคลานขึ้นมาจากพื้น มือลูบก้นป้อยๆอย่างน่าสงสาร “พี่ ท่านตีข้าเจ็บมากเลยนะ!”
“รู้ว่าเจ็บ ยังมารังแกเสิ่นจวิ้นอี้อีกรึ?” เจียงยิ่งหลีถลึงตาดุดันใส่เขา
“พี่บอกเองมิใช่รึ? เขาลวนลาม ...แค่กแค่ก เคยรังแกท่าน! ให้ข้าเจอเขาทีไรก็จัดการเขารอบหนึ่งนี่นา! ท่านดูขานั่นสิ ข้าเป็นคนทำเอง ตอนนั้นพี่หญิงยังชมว่าข้าทำได้ดีมากนี่นา!” พูดถึงตรงนี้ เจียงชิงฐันทำหน้าภูมิใจ
เจียงยิ่งหลีหันไปมองอย่างตะลึง นางเห็นเสิ่นจวิ้นอี้ก้มลงเก็บดอกผ้าไหมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนหันมาถามเจียงชิงฐันอีกว่า “เจ้า เจ้าทำรึ?”
“ใช่ไง! แบบนี้เขาก็ไม่สามารถไปเข้าร่วมการสอบถงเซิงได้แล้ว จะได้ไม่ไปแข่งกับพี่เขยเราไง!” เจียงชิงฐันยิ้มประจบบอก “พี่หญิงไม่ได้กังวลว่าเขาร่ำเรียนเก่งมากเกินไปแล้วจะไปกดทับพี่เขยจนลำบากรึไง! ต่อไปไม่ต้องกลัวแล้วนะ!”
พี่เขยที่เขาว่าคือโม่เหลี่ยนโจว
เขาพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ แต่เจียงยิ่งหลีฟังแล้วหัวใจสะท้านเยือก
ดังนั้นขาของเสิ่นจวิ้นอี้เป็นแบบนี้เพราะนางจริงๆ!
แถมยังเป็นน้องชายนางยกพวกมาทำจริงๆ!
มิน่าแม่เสิ่นถึงรังเกียจนางนัก!
เพียงแต่ทำไมนางไม่มีความทรงจำเรื่องนี้เลยล่ะ?
