บทที่ 13 ตอนนี้ข้าเป็นคนตระกูลเสิ่น
เจียงชิงหรงเองก็ส่ายหน้าใส่เสิ่นจวิ้นอี้ว่า “เสิ่นจวิ้นอี้ เจ้าไม่ได้ไปสำนักศึกษานานแล้วกระมัง? ทำไมต้องสิ้นเปลืองเงินด้วยเล่า!”
แม่ของเสิ่นจวิ้นอี้ป่วยหนัก เขาต้องวิ่งเต้นเพื่อครอบครัวอยู่หลายครั้ง จะมาร่ำเรียนในสำนักศึกษาทุกเมื่อเชื่อวันไม่ได้หรอก
พูดตรงๆคือ เจียงชิงหรงก็มั่นใจว่าเขาไม่ไหว เลยพูดอย่างนี้
คนในหมู่บ้านคนอื่นเห็นอย่างนั้นก็พากันเบนหน้าหนี
ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครอยากยุ่งเรื่องไม่เข้าเรื่อง
ตระกูลเจียงเลี้ยงลูกจนมีถงเซิงหนึ่งออกมา ไม่แน่ว่าต่อไปจะได้เป็นซิ่วไฉจวี่เหรินหรือไม่ก็จอหงวน ถึงตอนนั้นหมู่ทั้งหมู่บ้านก็จะโด่งดังไปด้วย พวกเขาไหนเลยจะกล้ามีเรื่องด้วย!
เลยได้แต่ทำเหมือนไม่เห็น!
เสิ่นจวิ้นอี้สีหน้าราบเรียบ ไม่ได้ต่อคำ
เจียงชิงหรงเห็นอย่างนั้นสายตาแอบทอประกายสาแก่ใจ กำลังจะปีนขึ้นรถ
แต่แล้ว เจียงยิ่งหลีกลับยกเท้าถีบเขาลงไป
เขายืนไม่มั่นคง ล้มลงไปเลย จนก้นกระแทกลงกับพื้น เสื้อผ้าชุดใหม่ล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ป้าใหญ่เจียงรีบเข้าไปพยุงเขาอย่างร้อนรน
“เจียงยิ่งหลี เจ้าบ้าไปแล้วรึ?” นางด่ากราดทันที
อย่าว่าแต่ป้าใหญ่เจียง คนอื่นยังตกตะลึงกับการกระทำนี้ของเจียงยิ่งหลีไปตามๆกัน
เจียงยิ่งหลียิ้มเย็น “อยากนั่งรถ ก็ต้องตื่นแต่เช้ารีบมาสิ เอาหน้าจากไหนมาเอาเปรียบคนอื่นกัน!”
นางถลึงตาใส่อาสะใภ้สามเจียงที่ทำท่าเดินขึ้นหน้าด้วยสายตาดุดัน “ใครกล้าขึ้นมาดึงข้าลงไป ข้าไม่สนว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่หรือไม่ ใครกล้ามาขวางสามีข้า ข้าจะไม่ให้มันคนนั้นจากไปอย่างสบายดีแน่!”
อาสะใภ้สามเจียงผงะกับสายตาดุดันเย็นเยียบของนาง โดยเฉพาะเห็นไขมันเป็นชั้นๆบนตัวเจียงยิ่งหลี ขืนโดนทับเข้า นางคงแบนตายแน่
เท้าพลันชะงัก
เจียงยิ่งหลีหันไปผายมือเรียกเสิ่นจวิ้นอี้ “ขึ้นมา”
เสิ่นจวิ้นอี้มองไปยังใบหน้ากึ่งอ้วนกึ่งอัปลักษณ์ที่สีหน้าบูดบึ้งตรงหน้านี้ เขาหลุบสายตาเม้มปาก และยื่นมือให้นาง ขึ้นไปนั่งตามแรงดึงของนาง
เจียงยิ่งหลียกที่นั่งด้านในให้เขา ตนมานั่งด้านนอก
ป้าใหญ่เจียงโกรธแทบระเบิดแล้ว จนคงท่าทีดอกบัวขาวยามปกติไว้ไม่อยู่ “เจียงยิ่งหลี เจ้ายังเป็นคนตระกูลเจียงไหมเนี่ยฮะ? กลับมาช่วยคนนอกแบบนี้ ถ้าพี่ชายเจ้าพลาดโอกาสรายงานตัวไป จะทำยังไง?”
“พวกท่านเคยเห็นข้าเป็นคนตระกูลเจียงรึ?” เจียงยิ่งหลีหลุดหัวเราะพรืด ดึงลากแขนแข็งเกร็งของเสิ่นจวิ้นอี้ เหล่มองพวกเขาอย่างเย็นชาว่า “อีกอย่าง ตอนนี้ข้าออกเรือนแล้วมายังตระกูลเสิ่น ย่อมกลายเป็นคนตระกูลเสิ่นแล้ว”
“พี่ชายไหนเลยจะสนิทเท่าสามี!”
มีคนข้างๆทนไม่ไหวหัวเราะพรืด แล้วรีบกลั้นไว้โดยเร็ว
เจียงยิ่งหลีโบกมือไล่อย่างรำคาญว่า “เอาล่ะ ไปแล้วไปแล้ว อย่าทำคนอื่นเสียเวลาสิ!”
“เจ้า---“
คนตระกูลเจียงเดือดจนแทบอยากเข้าไปฉีกกระชากใบหน้าของเจียงยิ่งหลี แต่ทั้งป้าใหญ่เจียงและเจียงชิงหรงล้วนเป็นคนหน้าบาง อีกทั้งเวลาก็เหลือน้อย ขืนเสียเวลาต่อไป คงเข้าเมืองไม่ทันแน่
สุดท้ายป้าใหญ่เจียงอดกลั้นความโกรธ ประจบเพิ่มราคาค่ารถไปอีกสามเท่า ให้คนในหมู่บ้านคนหนึ่งยอมยกที่นั่งให้ เจียงชิงหรงถึงขึ้นรถได้อย่างราบรื่น
รอจนรถออก อาสะใภ้สามเจียงถึงถอนหายใจโล่งอก และแอบมองป้าใหญ่เจียงที่สีหน้าเขียวคล้ำ ด่กราดแทนนางออกมา “นังแพศยาน้อยอาหลีทำเกินไปจริงๆ! คิดว่าแต่งเข้าตระกูลเสิ่นก็จะยืดอกเชิดหยิ่งได้แล้วงั้นรึ ต่อไปต้องโชคร้ายอย่างมากแน่!”
ป้าใหญ่เจียงกัดฟันบอก “...ใช่ นางน่ะรอเป็นม่ายแต่ยังสาวเถอะ! ไป กลับไป!”
ไม่เป็นไร นางไม่โกรธ!
ลูกชายและลูกสาวของนางล้วนมีอนาคตอันดีสดใสทั้งนั้น จะสนใจอะไรกับนังแพศยาเบาปัญญาอย่างเจียงยิ่งหลีนี่กันล่ะ!
เพียงแต่นิสัยของนางทำไมต่างจากเมื่อก่อนถึงเพียงนี้นะ!
พอรถวัวลากเข้าไปในตำบล ยังต้องเปลี่ยนเป็นขึ้นรถม้าไปยังอำเภอต่อ
โชคดีที่ที่เปลี่ยนรถม้านั้นอยู่หน้าประตูเมือง พอทั้งสองลงจากรถ เจียงชิงหรงก็สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างเคืองโกรธทันที
เจียงยิ่งหลีกำลังจะไปหารถ ก็เห็นยู่ฉีกวางที่โบกมือเรียกเสิ่นจวิ้นอี้อยู่ไม่ไกล
“อาจวิ้น ตรงนี้”
ทั้งสองเดินเข้าไปหา พอยู่ฉีกวางเห็นเจียงยิ่งหลี ก็เบ้ปากด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “เจ้ามาทำไมน่ะ?”
“ข้ามาส่งสามีข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้ากันล่ะ!” เจียงยิ่งหลีเถียงกลับอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน
“เจ้า---“ ยู่ฉีกวางขนลุกขนพองกับคำตอบนี้ เขาหันมองเสิ่นจวิ้นอี้ที่ยืนนิ่งอยู่ “ อาจวิ้น ข้าจองตำแหน่งไว้แล้ว ยังเหลืออีกประมาณสิบนาทีก็จะได้เวลาออกเดินทางแล้ว”
เสิ่นจวิ้นอี้หันไปขอบคุณเขา ก่อนหันถามเจียงยิ่งหลีว่า “ไม่ต้องให้ข้าไปด้วยกันจริงรึ?”
เขากลัวเจียงยิ่งหลีเชิญท่านหมอที่มีวิชาเก่งกาจแต่นิสัยเอาแต่ใจมาไม่ได้!
“ไม่ต้อง เจ้าไปรายงานตัวอย่างสบายใจเถอะ! ที่เหลือยกให้ข้าเอง” เจียงยิ่งหลียัดห่อสัมภาระในมือให้เขา “ถือของให้ดีล่ะ ระวังความปลอดภัยด้วย!”
ยู่ฉีกวางรู้สึกว่าคำกำชับนี้ดูแปลกพิกล ฟังแล้วเหมือนคำที่ภรรยาจะพูดกับสามีอยู่เหมือนกัน
แต่พอมองเข้ากับใบหน้าอวบอ้วนเต็มไปด้วยสิวแดงนั่นของเจียงยิ่งหลีแล้ว เขาสะดุ้งโหยง ลูบแขนอย่างขนลุก และผลักเสิ่นจวิ้นอี้พลางว่า “อาจวิ้น ไปเถอะ วันนี้ต้องคนมากมายแน่ พวกเราต้องรีบไปเร็วหน่อย”
เสิ่นจวิ้นอี้พยักหน้ารับ
เจียงยิ่งหลีมองตามแผ่นหลังที่เดินกะเผลอขึ้นรถม้าของเขา พลันนึกถึงความฝันเมื่อคืนขึ้นมาได้ เลยนึกสังหรณ์ใจ ร้องเรียกเขาไว้ “เสิ่นจวิ้นอี้”
เสิ่นจวิ้นอี้หันกลับมามอง
“ได้ยินว่าข้างสำนักศึกษาหยุนลู่มีร้านเครื่องประดับเปิดใหม่ ในนั้นมีขายดอกผ้าไหมสวยๆ ทุกวันจะขายในปริมาณจำกัด เจ้าซื้อมาฝากข้าสักดอกสิ”
นี่เป็นสิ่งที่นางเห็นในฝัน
เสิ่นจวิ้นอี้ยังไม่ทันตอบ ยู่ฉีกวางกระทืบเท้าเร่าๆก่อนเลย “นังอ้วนอัปลักษณ์อย่างเจ้าจะสวมดอกไม้อะไรกันล่ะ? ไม่กลัวคนเห็นแล้วฝันร้ายรึ! พวกเราจะรีบไปรายงานตัวนะ เจ้าคิดว่าพวกเราไปท่องเที่ยวหรือไรหา! ยังซื้อดอกไม้!?”
“ซื้อดอกไม้จะเสียเวลามากเท่าไหร่กันเชียว! เป็นหญิงสาวจะรักสวยรักงามแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน ไม่ต้องให้เจ้าออกเงินเสียหน่อย!” เจียงยิ่งหลีแกล้งพูดเสียงดังว่า “เสิ่นจวิ้นอี้ เจ้าต้องซื้อมาให้ข้านะ ถ้าไม่ซื้อเจ้าก็ไม่ใช่สามีข้าแล้ว! อีกอย่าง ข้าจะเอาดอกที่สวยที่สุด!”
“เจ้า---!” ยู่ฉีกวางโกรธแทบเป็นลม เขาขี้เกียจโต้เถียงกับเจียงยิ่งหลีต่อ เลยเอาผ้าม่านรถลงโดยตรง ไม่เห็นเลยดีกว่า
...........
เจียงยิ่งหลีฮึมฮัมเพลง แบกห่อผ้าที่ใส่โสมไว้เดินไปร้านขายยา
ในร้านขายยามีเพียงเด็กจัดยาตัวน้อยอายุสิบกว่าปีคนเดียว
เจียงยิ่งหลีมองซ้ายมองขวา แล้วถามขึ้น “เถ้าแก่พวกเจ้าอยู่หรือไม่?”
“เถ้าแก่ของเราออกไปตรวจคนไข้แล้ว” เด็กจัดยาตัวน้อยตอบ “ฮูหยินต้องการซื้อยาหรือตรวจอาการเล่า? ถ้ามาซื้อยา ข้าก็คัดเลือกให้ท่านได้ หากมาตรวจรักษาคงต้องรอก่อน!”
“แล้วต้องรอนานเท่าใดเล่า?”
“เรื่องนี้ ข้าเอง....”
เด็กจัดยาตัวน้อยยังพูดไม่ทันจบ ด้านนอกพลันมีผู้ชายในชุดองครักษ์พุ่งเข้ามาหลายคน แต่ละคนล้วนพกดาบ เห็นได้ชัดว่ามาจากบ้านคนรวย ด้านหลังพวกเขายังมีสาวใช้สองคนพยุงแม่นางน้อยที่อยู่ในชุดหรูหราแต่มีสีหน้าซีดเผือดมาด้วยคนหนึ่ง
“ท่านหมอเล่า? ไปเรียกท่านหมอที่เชี่ยวชาญรักษาแผลภายนอกที่สุดของพวกเจ้าออกมา!”
เด็กจัดยาตัวน้อยรีบโค้งคำนับตอบ “ขออภัยด้วย ท่านหมอของเราไม่อยู่เลย หากพวกท่านรีบร้อนมาก สามารถไปโรงหมอที่อยู่ห่างออกไปอีกห้าถนนได้...”
พวกผู้ชายทำหน้าตกตะลึง โชคร้ายเพียงนี้เลย?
ในตอนนี้เอง แม่นางคนนั้นร้องโหยหวนว่า “หูหู หูของข้าปวดนัก! หากข้าเป็นอะไรไป ข้า ข้าจะไม่ละเว้นพวกเจ้าเลย! โอ๊ยปวดนัก!”
พอหัวนางขยับ ทุกคนเลยเห็นหูด้านข้างที่ถูกสาวใช้กุมไว้
บนติ่งหูยังใส่ตุ้มหูไข่มุกเม็ดน้อยที่ย้อมไปด้วยเลือด ใบหูและโคนหูถูกฉีกกระชากแยกจากกันจนเหลือชั้นหนังห้อยไว้เท่านั้น
เลือดสดไหลริน ดูน่ากลัวนัก
เด็กจัดยาตัวน้อยใบหน้าซีดเผือด เกือบตกใจอาเจียนออกมา
พวกผู้ชายหลายคนก็ไม่กล้ามองตรงๆ พอเผชิญหน้าเจ้านายน้อยที่ร้องไห้คร่ำครวญและเอ่ยปากข่มขู่อยู่ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
หากเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้านายจริงๆ พวกเขาคงไม่อาจรอดไปได้แน่!
ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าตัดสินใจ ชักดาบยาวออกมาข่มขู่ด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ข้าได้สืบมาแล้ว ในร้านยาของพวกเจ้ามีท่านหมอที่เชี่ยวชาญแผลภายนอกมากที่สุด รีบหาตัวออกมาโดยไว หากคุณหนูของเราเป็นอะไรไป ทั่วทั้งร้านยาของเจ้าอย่าหวังจะรอดไปได้แม้แต่คนเดียวเลย! ยังไม่รีบไปอีก!”
