บทที่ 6 ซ่งชีหลัน
เป็นอย่างที่อู๋ฟางเหนียงคิด ต่อให้พี่ชายของนางไม่ชอบนางอย่างไรแต่เขาก็ไม่คิดจะเอาเรื่องความประพฤติเหลวไหลของนางไปฟ้องซ่งซื่อ เขาเกลียดชังที่อู๋ฟางเหนียงเป็นต้นให้มารดาของเขาต้องตาย แต่สำหรับซ่งซื่อที่เข้ามาแทนที่มารดาของเขานั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกเกลียดชังมากกว่า
ต่อให้เขาอยากเล่นงานอู๋ฟางเหนียงมากเพียงใดแต่อู๋ฟางหรงก็ไม่มีทางช่วยยื่นหยิบอาวุธให้ซ่งซื่อใช้ลงทัณฑ์นาง แถมยังมีอยู่หลายครั้งที่สองพี่น้องคู่นี้ร่วมมือกันรังแกซ่งซื่อด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของอู๋ฟางเหนียงนอกจากซ่งซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงและอู๋ฟางเซียนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาแล้วก็ยังมีอู๋ฟางหรงนี่แหละที่รู้ว่านางไม่ใช่คนที่มีจิตใจดีชีวิตความเป็นอยู่สุดแสนจะอาภัพน่าสงสารอย่างที่ผู้คนภายนอกเข้าใจ
อู๋ฟางเหนียงใช้ชีวิตของนางดังเช่นปกติ ผู้คนยังคงละเลยนางเช่นเดิม ข้อดีก็คือถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดสนใจนางแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกนางด้วยเช่นกัน ได้โอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งนางไม่ได้สนใจและโหยหาความรักความอบอุ่นในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่นางต้องการในตอนนี้ก็คือทำให้ตนเองและคนที่รักนางมีความสุข หากมีโอกาสก็จะขอเล่นงานและแก้แค้นคนที่เคยทำไม่ดีต่อนางในชาติที่แล้วให้หมด
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่เปลี่ยนแม่กุญแจของประตูหลังแล้วเจ้าค่ะ แถมยังส่งคนไปคอยเฝ้าบริเวณหลังจวนอย่างแน่นหนาด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหลียนเอ่ยรายงานเจ้านายด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก
“ไม่เป็นไร ถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ตัวข้าเองก็ไม่คิดจะลักลอบออกจากจวนแล้ว” เมื่ออู๋ฟางเหนียงเอ่ยเช่นนี้เสี่ยวเหลียนก็ขมวดคิ้ว
“แล้วจะออกไปข้างนอกอย่างไรเล่าเจ้าคะ อย่างน้อยก่อนที่ร้านจะเปิดคุณหนูก็ยังต้องตรวจสอบด้วยตนเองมิใช่หรือเจ้าคะ ต่อให้เป็นบ่าวไปตรวจสอบก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้องตามคำสั่งของคุณหนู” เมื่อเสี่ยวเหลียนเอ่ยเช่นนี้อู๋ฟางเหนียงก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ในเมื่อลักลอบออกจากจวนไม่ได้ พวกเราก็ออกจากจวนอย่างโจ่งแจ้งไปเลยไม่ดีกว่าหรือ” คำพูดของอู๋ฟางเหนียงทำให้เสี่ยวเหลียนทำหน้ายู่เข้าไปอีก
“จะง่ายดายอย่างเช่นคุณหนูเอ่ยมาได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ ถ้าหากว่าง่ายดายถึงเช่นนั้นแล้วเหตุใดก่อนหน้านี้พวกเราจึงจะต้องลักลอบหลบหนีทางประตูหลังให้ยุ่งยากด้วย”
“ก็ไม่ง่ายจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่จะถามว่ายากเย็นหรือไม่ก็ไม่นับว่ายาก ก็แค่ต้องประชันฝีปากกันสักเล็กน้อยและบีบบน้ำตาอีกสักหน่อยมีหรือที่ข้าจะไม่สามารถออกจากจวนได้” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยพลางจัดแต่งทรงผมและก้มลงสำรวจการแต่งกายของตนเองอีกครั้ง
“ไป ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำอยู่แล้ว มิสู้ออกไปตรวจสอบความคืบหน้าของร้านค้าของข้าสักหน่อยดีกว่า” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยพลางเดินนำหน้าสาวใช้ของตนไปเรือนหลัก
เสี่ยวเหลียนได้แต่ทอดถอนใจออกมา ในขณะที่นางกำลังเดินติดตามคุณหนูของนางสายตาของนางก็พยายามมองหาตัวช่วยอย่างแม่นมเยี่ยนก็ไม่เห็นจึงพึ่งคิดได้ว่าวันนี้แม่นมเยี่ยนขอลากลับบ้านเกิดที่อยู่ต่างเมือง เนื่องจากลูกสาวของนางป่วยนางกลับไปครั้งนี้น่าจะใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะกลับ แม่นมไม่อยู่เช่นนี้ย่อมยากที่นางจะเอ่ยปากห้ามปรามคุณหนูของนางได้ มีหนทางเดียวก็คือติดตามและคอยปกป้องคุณหนูของนางอย่างเต็มกำลังเท่านั้นเอง
ซ่งซื่อผู้เป็นฮูหยินของจวนโหวแห่งนี้มีนามว่าซ่งชีหลัน นางคือบุตรสาวของอดีตราชครูซ่ง แต่เพราะบิดาของนางจากไปเร็วจวนสกุลซ่งของนางจึงได้ตกต่ำลง จะแต่งกับคนที่ต่ำศักดิ์กว่าก็ไม่ได้จะแต่งกับคนที่มีฐานะสูงส่งก็ไม่กล้าเอื้อมถึง ฐานะไม่สูงไม่ต่ำของนางทำให้นางเลยวัยที่จะแต่งงานมากพอสมควร จวบจนถูกจวนไหวอันโหวสู่ขอเพื่อตบแต่งเป็นฮูหยินคนที่สองนางจึงได้รีบตอบตกลงในทันที
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อแต่งเข้าจวนมาแล้วนอกจากจวนโหวจะมีซื่อจื่อไว้สืบทอดตำแหน่งแล้ว จิตใจของท่านโหวหนุ่มก็ดูเหมือนจะว่าจะแตกดับตามฮูหยินคนเก่าของเขาไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับท่านโหวเป็นความสัมพันธ์แบบให้เกียรติซึ่งกันและกันเขาไม่มีอนุภรรยาคอยกวนใจหากมองจากภายนอกก็ดูเหมือนว่าชีวิตของนางราบรื่นไร้คลื่นลม
เพียงแต่ผู้ใดจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคลื่นลมในชีวิตของนางกลับเลวร้ายกว่าที่ผู้อื่นคิด ท่านโหวไม่มีใจให้ก็แล้วไปเถอะ หากนางมีบุตรชายแล้วจะไม่มีโอกาสได้สืบทอดตำแหน่งก็ช่างเถอะ แต่ภายในจวนแห่งนี้กลับมีนางจิ้งจอกตัวน้อยที่มีหน้าตางดงามเหมือนมารดาของนางคอยตำตาตำใจนี่สิ แถมนางจิ้งจอกน้อยตัวนี้มักจะทำให้นางต้องร้อนอกร้อนใจอยู่เสมอ ตำแหน่งมารดาเลี้ยงผู้ใจร้ายถูกสวมครอบลงมาบนหัวของนางก็เพราะเด็กสาวผู้นี้ เดิมทีนางก็ไม่ได้รังเกียจลูกเลี้ยงแต่ลูกเลี้ยงของนางกลับทำให้นางไม่อาจจะรักได้ลงอย่างแท้จริง
“ฟางเหนียง คารวะฮูหยินเจ้าค่ะ” อู๋ฟางเหนียงเดินเข้าไปในเรือนแล้วคารวะซ่งซื่อด้วยท่าทางนอบน้อมและงดงาม ซ่งซื่อเหลือบมองนางแล้วก็ให้รู้สึกขัดใจยิ่งนัก เด็กสาวผู้นี้ไม่เพียงจะหน้าตางดงามเหมือนมารดาของนาง แต่นางยังแต่งเนื้อแต่งตัวงดงามเกินหน้าเกินตาอู๋ฟางเซียนผู้เป็นบุตรสาวของนางมาก
‘ก็ผู้ใดให้นางมีจวนเซี่ยกั๋วกงคอยหนุนหลังกันเล่า แม้แต่คำเรียกขานว่าแม่นางยังไม่เคยคิดจะเรียกข้าเลยสักครั้ง’ ซ่งซื่อได้แต่คิดต่อว่าในใจ ช่วงนี้นางไม่กล้าต่อว่าอู๋ฟางเหนียงอย่างโจ่งแจ้งอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรตั้งแต่อู๋ฟางเหนียงหายจากการล้มป่วยนางแทบจะไม่กล้าสบสายตาและไม่กล้างัดข้อตรงๆ กับลูกเลี้ยงของนางอีกเลย
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ มีธุระอะไรก็ว่ามาเลย” ซ่งซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
“วันนี้ข้าจะมาขออนุญาตออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เป็นสาวเป็นนางจะออกไปข้างนอกทำไมกัน เจ้าพึ่งจะพ้นพิธีปักปิ่นมาสมควรจะเก็บตัวอยู่ในเรือนแต่โดยดี รอว่าที่สามีของเจ้ามาสู่ขอเถอะ” ซ่งซื่อเอ่ยตอบอย่างไร้เยื่อใยพลางหันไปส่งสายตาให้หมัวมัวข้างกายส่งแขก
“คุณหนู ฮูหยินหวังดีกับท่านช่วงนี้ท่านไม่ควรจะออกข้างนอก ท่านกลับไปเถิดเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยินรู้สึกไม่ค่อยสบายคุณหนูได้โปรดปล่อยให้ฮูหยินพักผ่อนด้วยเถิดเจ้าค่ะ” กุ้ยหมัวมัวเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม คำพูดของนางแทบจะไม่เปิดโอกาสให้อู๋ฟางเหนียงได้โต้แย้ง ถึงอย่างไรข้อหาการรบกวนมารดาเลี้ยงทำให้นางที่กำลังไม่สบายไม่ได้พักผ่อนก็เป็นการทำลายชื่อเสียงเรื่องความกตัญญู อู๋ฟางเหนียงแค่เพียงแค่นยิ้มออกมาแต่สาวใช้ของนางกลับมีสีหน้าและท่าทีที่เต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
“แต่ว่าท่านยายของข้าก็ไม่สบายเช่นกัน หากทางจวนกั๋วกงรู้ว่าข้าไม่อาจจะไปเยี่ยมเยียนท่านยายดังตั้งใจได้ก็คงจะไม่ค่อยดีนะเจ้าคะ ฮูหยินในเมื่อท่านเองก็ไม่ค่อยสบายเช่นกันท่านคงจะรู้นะเจ้าคะ ว่าคนป่วยสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกำลังใจจากลูกหลาน” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาแตะซับที่หางตาเบาๆ ด้วยท่าทางน่าสงสารทำให้ทั้งซ่งซื่อและกุ้ยหมัวมัวพากันขมวดคิ้ว
“เอาหล่ะๆ ไม่ต้องยกจวนกั๋วกงมาขู่ข้าหรอก เจ้าจะไปก็ไปเถอะ รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน” ซ่งซื่อเอ่ยพลางโบกมือด้วยท่าทางอารมณ์เสีย อู๋ฟางเหนียงรีบย่อกายคารวะขอบคุณนางในทันที
“ขอบคุณฮูหยินนะเจ้าคะ ถ้าเช่นนั้นฟางเหนียงขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ขอให้ฮูหยินหายป่วยในเร็ววัน” เมื่อเอ่ยจบอู๋ฟางเหนียงก็หันไปสั่งสาวใช้ของเรือนหลักให้ไปแจ้งคนรถจัดเตรียมรถม้าในทันที
“เมื่อครู่นางว่าอะไรนะ นางขอให้ข้าหายป่วยหรือแต่ข้าไม่ๆ ได้ป่วย!” ซ่งซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจส่วนกุ้ยหมัวมัวรีบส่ายหน้าส่งสัญญาณให้นางไม่พูดในทันที
“ฮูหยินเมื่อครู่ท่านบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย” กุ้ยหมัวมัวเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพลางส่งสายตาให้ซ่งซื่อเห็นว่าสาวใช้ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ยังอยู่ในเรือนหลายคนทำให้ซ่งซื่อต้องเก็บถ้อยคำผรุสวาทของตนเองกลับไปในทันที
