ตอนที่ 13 ฆาตกรตัวจริง
อ๋องคังคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดถึงความจริง ของการฆาตกรรมนี้ขึ้นมา จึงหันไปมองจี้อี้ด้วยดวงตาเบิกโพลง
แม้แต่คังเสี้ยเหอก็คาดไม่ถึงว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องจี้จะโผล่ขึ้นมาจากด้านข้าง เมื่อตื่นตากับความงามแล้ว ก็ย้อนมาตกตะลึง ใบหน้าบอบบางไม่อาจซ่อนความคิดไว้ได้ และโพล่งปากอย่างไว
“จี้ซื่อจื่อ ท่านกับสี่เอ๋อร์ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องต่อกัน เหตุใดถึงฆ่านางกันเล่าเพคะ?"
หางตาของจื้อี้ไม่ขยับ ใบหน้ายังนิ่งดั่งเก่า สะท้อนออกมาราวกับสายลมสงบแห่งฤดู ใบไม้ผลิ เขาสะบัดแขนเสื้อไปมาอย่างช้าๆ และยิ้มอย่างสบายๆ
“หากคุณหนูคังที่สามต้องการรู้ข้าก็จะบอก สาวใช้ผู้นี้นางวิ่งเข้าใส่ข้า นางมีท่าทีเป็นอันตรายต่อข้า หรืออาจเพราะข้าไม่ถูกใจใบหน้าของนาง เจ้าว่าอย่างไหนดี ก็ยกเหตุผลอันนั้นมาใช้เสีย"
เมื่อครู่ที่เหยาเชิงได้ยินอ๋องคังพูดกับจี้อี้มันฟังดูเคารพมากกว่าที่พูดคุยกับองค์รัชทายาท
และยังมีความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ รวมอยู่ในนั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้ซื่อจื่อ เหยาเซิงมั่นใจอยู่เต็มอกว่าจี้ซื่อจื่อผู้นี้ย่อมเป็นปีศาจสำหรับผู้คนในเมืองเป็นแน่ เพราะแม้แต่อ๋องอย่างท่านพ่อ ยังไปยุ่มย่ามไม่ได้ง่ายๆ
รูปร่างที่งดงามและไม่เป็นรองใคร แต่คำพูดคำจากลับทำให้ผู้ฟังอดรนทนไม่ได้ แต่ยังต้องกัดฟันและจำยอมอดทนต่อไป ต้องเป็นคนโฉดเป็นแน่
ทันใดนั้นใบหน้าของคังเสี้ยเหอก็แข็งค้าง ไม่เคยมีใครตอบกลับนางเช่นนี้มาก่อน
รูปลักษณ์ของจี้ซื่อจื่อนั้นเหมือนกับที่ผู้คนต่างกล่าวขาน รูปโฉมสง่างามและท่วงท่าสูงส่ง เหตุใดผู้สง่างามเช่นเขาถึงพูดเช่นนั้นนี้กัน
ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา เมื่อครู่เธอกล่าววาจาล่วงเกินไปตั้งมาก หากไปกระทบต่อมโมโหของจี้ซื่อจื่อเข้า...
ตอนนั้นเองที่เหยาเซิงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ ยืนอยู่บนบรรทัดฐานของสังคมเดิมอีกแล้ว ณ ที่นี่ชีวิตคนราวกับผักราวกับหญ้า เพื่อการอยู่รอด เธอต้องคร่าชีวิตผู้อื่นเท่านั้น
พวกเขาพูดถึงเรื่องการตายของสี่เอ๋อร์ ราวกับคุยว่าปิ่นปักผมนั้นทำจากเงินหรือทำจากทอง
ในสายตาไม่ได้มองชีวิตนี้อยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
คนพวกนี้เกิดบนพื้นฐานที่สูงส่ง ย่อมคุ้นเคยกับการมองคนพวกนี้ให้ไร้ค่าไป แล้วยามที่กำลังมองหาความแตกต่างนั้น
ใบหน้าไป๋หลี่รุ่ยก็มืดครึ้ม สายตาเย็นเยียบ
เขาไม่ชอบร่างที่งดงามและสูงศักดิ์อย่างจี้อี้ โดยเฉพาะท่วงท่าสูงส่งนั่น
หากที่ใดมีจี้อี้ สายตาของผู้คนตรงนั้นจะหยุดอยู่ที่เขาเสมอ เขาที่เป็นถึงองค์รัชทายาท เป็นทายาทสืบบัลลังก์ของฮ่องเต้ เขาเกลียดความรู้สึกนี้
ไป๋หลี่รุ่ยมองจี้อี้ และเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “จี้ซื่อจื่อคงจะคุ้นชินอะไรแบบนี้ ชีวิตสาวใช้ที่ต่ำต้อยจึงไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่สาวใช้นางนี้เป็นคนรับใช้ของตำหนักอ๋องคัง ต่อให้จี้ซื่อจื่อมีอะไรที่ไม่พอใจ ก็ควรนำมากล่าวกับอ๋องคังเสียก่อน เขาย่อมจัดการได้ด้วยตัวเอง”
คังเสี้ยเหอเมื่อเห็นไป๋หลี่รุ่ยเอ่ยขึ้น องค์รัชทายาทคงกลัวนางจะตกที่นั่งลำบาก ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ จึงช่วยนางพูดเมื่อคิดได้เช่นนั้น
ดวงตาคู่สวยก็ทอประกาย แล้วขยับเข้าไปใกล้ไป๋หลี่รุ่ยอย่างอดไม่ได้
เหยาเซิงเมื่อเห็นสายตาทอประกายฝันของนาง ก็ลอบหัวเราะเบาๆ
หากองค์รัชทายาททำเพื่อคังเสี้ยเหออย่างที่คิดจริงๆ
เช่นนั้นคงไม่หาเรื่องจี้อี้ที่ตำหนักอ๋องคังแห่งนี้
คำพูดเดียวผลักอ๋องคังให้กลายเป็นคนกลาง ระหว่างองค์รัชทายาทและบุคคลสำคัญอย่างจี้ซื่อจื่อ นั่นมันไม่ยากไปหน่อยหรือ
จี้อี้หัวเราะน้อยๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม “องค์รัชทายาทโปรดอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยพะย่ะค่ะ เมื่อเทียบกับชีวิตของสาวใช้คนหนึ่งแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วที่ท่านล่าทาสด้วยธนูในเขต เกรงว่านั่นคงเป็นการไม่เห็นค่าความเป็นตาย ล่าสัตว์ของท่าน ของคนมากเสียยิ่งกว่าอีกหรือ?
องค์รัชทายาท ท่านที่ทำถึงขนาดนั้น เหตุใดการตายของสาวใช้เพียงคนเดียว ถึงได้นำมาคาดคั้นคุณหนูใหญ่คังถึงเพียงนี้ และยังทำให้งานฉลองวันคล้ายวันเกิดของอ๋องคังบรรยากาศเลวร้ายไปอีก”
ใบหน้าของไป๋หลี่รุ่ยซีดเผือด สายตาล้ำลึกจ้องตรงไปที่จี้อี้ ขบริมฝีปากไว้แน่น
เมื่อห้าวันก่อน เขาและคนสนิทได้ไปยังหุบเขาที่เป็นฐานล่า สัตว์ของตนเพื่อหาความสนุกใส่ตน ด้วยการโยนทาสหนีเข้าไปในป่า เพื่อดูว่าใครจะล่าหัวได้มากที่สุด
เรื่องนี้ถูกปิดไว้ และไม่ให้ใครได้ล่วงรู้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของจื้อี้ ดูเหมือนว่าปิดเป็นความลับจะเป็นเพียงแค่ลมปากก็เท่านั้น
หากเรื่องนี้ดังไปจนถึงวังหลวง ย่อมมีขุนนางหลายนายนำไปฟ้องเสด็จพ่อเป็นแน่
