บทย่อ
เพราะคำว่าเพื่อนนั่นสำคัญกับเขาเสมอ เมื่อได้ลั่นวาจาไปแล้ว ก็ต้องทำตามที่พูด จะดูแลน้องสาวให้เพื่อน เมื่อเธอเลือกเข้ามาเรียนต่อในเมืองหลวง...
1 - น้องสาว
น้องสาว
กรุงเทพมหานคร
ร่างบางในชุดนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนดัง บนใบหน้ารูปไข่มีแว่นตากรอบใสประดับอยู่ เธอยืนมองตึกสูงเสียดฟ้าตรงหน้า ที่วันนี้นั้นเธอได้ย่างกรายเข้ามาเหยียบเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ที่เธอมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เพราะว่าวันนี้นั้นเธอต้องกลับบ้านพร้อมกันกับเขา ซึ่งก็คือเพื่อนของพี่ชาย ที่เธอมาอาศัยอยู่ที่บ้านบุพพาการีของเขานั้นเอง
และวันนี้พวกท่านต้องเดินทางไปต่างประเทศ แล้วคนขับรถของที่บ้านก็ต้องขับไปส่งพวกท่านที่สนามบินอีกด้วย เลยต้องให้เธอมารอกลับบ้านพร้อมกันกับลูกชายที่บริษัทแทน เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้กับบริษัท พวกท่านยังไม่อนุญาตให้เธอขึ้นรถประจำทางกลับบ้าน จึงต้องมีคนขับรถที่บ้านไปรับส่งอยู่ตลอด
เดิมทีเธออยากเรียนแค่โรงเรียนของรัฐบาลมากกว่าเพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่าย แต่พี่ชายกับเพื่อนของเขากลับไม่เห็นด้วย เธอเลยต้องได้เรียนที่นี่ ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติขึ้นชื่อที่ครอบครัวของเพื่อนพี่ชายมีหุ้นส่วนร่วมอยู่ด้วย
“นี่เธอมาจากไหนกัน? มาหาใคร? แล้วเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?” เสียงของหญิงสาวหน้าห้องทำงานของประธานหนุ่มเอ่ยดังขึ้นมาทันทีที่เธอก้าวผ่านหน้ามา แถมยังยิงคำถามแบบรัว ๆ ยาวเหยียดจนไม่รู้ว่าเธอควรจะตอบคำถามไหนก่อนดี
“สวัสดีค่ะ มาหาพะ เอ่อ...คุณศุภวัฒน์ค่ะ” เธอเอ่ยทักทายกลับไปตามมารยาท แล้วบอกจุดประสงค์ของการมาที่นี่ในครั้งนี้ของเธอกับหญิงสาว
ชนิดา พิสิษฐากูล หรือ หนูนิด สาวน้อยวัย 18 ปี เธอเป็นสาวน้อยต่างจังหวัดที่เข้ามาอยู่ในบ้านของประธานหนุ่มตั้งแต่อายุ 12 ปี เพราะมาเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาที่นี่
“มาหาบอส? ได้นัดท่านไว้หรือเปล่าล่ะะ” เอมรา หญิงสาวหน้าห้องทำงานของประธานหนุ่มซึ่งรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขาฯ เอ่ยถามเธอกลับมาทันที แถมยังมองเธอด้วยสายตาที่เหน็บแนมราวกับว่าเธอไปทำอะไรให้ไม่พอใจเสียอย่างนั้น
“ไม่ได้นัดค่ะ พอดีหนู...” ชนิดาตอบออกไปตามตรง เพราะเธอก็ไม่ได้นัดหมายเอาไว้ล่วงหน้าตามที่หญิงสาวถามจริง เพราะเธอต่อสายหาเขามาจะเข้ามาที่นี่แล้วแต่เขากลับไม่ยอมรับสายจากเธออีก เธอเลยต้องเดินลุยฝ่าฝูงชนมากหน้าหลายตาเข้ามากว่าจะถึงหน้าห้องทำงาน
“ยังเด็กแถมยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกับบอสล่ะ” หญิงสาวมองสำรวจเธอแถมพูดจาเหยียดเหมือนดูถูกเธออีก
“น้องสาวค่ะ”
“น้องสาว? เท่าที่ฉันทราบมาน้องสาวบอสเรียนอยู่ที่ต่างประเทศนะ เธอเป็นใครกันแน่ถึงกล้ามาแอบอ้างว่าเป็นน้องสาวของบอส หรือว่า...” หญิงสาวยังคงใช้สายตามองสำรวจและพูดจาเหน็บแนมใส่ แถมยังจินตนาการคิดไปไกลว่าเธอมีความสัมพันธ์กับประธานหนุ่มบริษัทนี้
“คะ เอ่อ หนูนิด!”
“พี่เจษ...”
ยังไม่ทันที่ชนิดาจะได้เอ่ยอะไรออกมา ก็มีเสียงอันคุ้นเคยจากคนที่เปิดประตูออกมาจากห้องทำงานของประธานหนุ่มแล้วเรียกชื่อของเธอขึ้นมา เธอจึงได้แต่หันไปมองตามเสียงก็รู้ว่าเป็นใคร เธอจึงเอ่ยทักทายเขาไปด้วยท่าทีที่นอบน้อมเพราะเขาอายุมากกว่าเธอ
เจษพิพัฒน์ หรือ เจษ ชายหนุ่มในวัย 28 ปี ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทและรับตำแหน่งเป็นเลขาส่วนตัวของประธานบริษัทแห่งนี้
ส่วนตำแหน่งเลขานุการของประธานบริษัทมักจะเป็นผู้หญิงกัน แต่ที่นี่ประธานหนุ่มกลับเลือกเลขาฯเป็นผู้ชายแทน
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ แล้วทำไมไม่เข้าไปรอในห้อง พอดีบอสยังประชุมไม่เสร็จเลย” เจษพิพัฒน์ยิงคำถามยาวใส่เธอทันที
“ก็...” ชนิดาหันไปมองหน้าของหญิงสาว และกำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมา
“พี่เจษรู้จักเธอด้วยเหรอ” เอมราผู้ช่วยของเลขาหนุ่มก็ชิ่งพูดตัดหน้าขึ้นมาเสียก่อน โดยที่ใช้น้ำเสียงและสายตาอ่อนโยนพูดกับเจษพิพัฒน์ ซึ่งจากที่พูดกับชนิดาเป็นไหน ๆ
“รู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ แล้วทำไมไม่ให้น้องเขาเข้าไป เธอไม่รู้เหรอว่าหนูนิดเป็นใคร” เจษพิพัฒน์หันมาพูดกับทางผู้ช่วยสาวด้วยสายตาที่ดุดันไม่ค่อยพอใจนัก ที่หญิงสาวชอบตัวห่วงก้างไปทั่ว
เจษพิพัฒน์รู้จักกับชนิดาเพราะตนนั้นแวะไปที่บ้านของผู้บริหารอยู่บ่อยครั้งเพราะพวกเขาคือเจ้านาย และบางวันก็ไปรับส่งชนิดาแทนคนขับรถที่บ้านให้ตามคำสั่งของเจ้านายหากว่าคนขับรถที่บ้านไม่ว่าง เขาจึงได้รู้จักกันเพราะชนิดาจิตไมตรีดีช่างพูดจึงเป็นมิตรกับทุกคนได้ง่าย จึงเป็นที่สนใจของเพศตรงข้าม
เพราะเหตุนี้เองเจ้านายหนุ่มเลยให้เขามาเป็นตัวกันไม่ให้พวกหนุ่ม ๆ เข้าถึงเธอ หรือที่เรียกว่า ‘ไม้กันหมา’ นั่นเอง
“ก็เอมไม่รู้นี้คะพี่เจษ ว่าน้องเขาพูดจริง เอมคิดว่ามีคนเข้ามาแอบอ้าง...” เอมราก้มหน้างุดพูดกับเขาอย่างรู้สึกผิด แต่สายตาก็ไม่วายคอยชำเลืองมองชนิดาอย่างนึกโกรธเคือง
“อะไรที่ไม่ควรรู้ ฉันว่าเธออยู่เงียบ ๆ จะดีกว่านะ ถ้าอยากทำงานที่นี่นาน ๆ” เจษพิพัฒน์ได้แต่คอยตักเตือนผู้ช่วยสาว เพราะเขารู้ดีว่าเธอรู้สึกเช่นไรกับเจ้านายหนุ่ม
“พี่เจษพอเถอะคะ” ชนิดารีบปรามเขาเอาไว้เสียก่อน
“หนูนิดเข้าไปนั่งรอบอสออยู่ด้านในได้เลยครับ เดี๋ยวพี่เอาเอกสารกลับไปให้บอสที่ห้องประชุมก่อน” เจษพิพัฒน์จึงหันมาพูดกับเธอ และเปิดประตูห้องให้เธอได้เข้าไปด้านใน แล้วเขาก็เดินไปที่ห้องประชุมอีกทันที
“ฮึ...ก็แค่กาฝากที่มาจากบ้านนอก” เอมราพูดขึ้นทันทีที่เจษพิพัฒน์เดินออกไปแล้ว และยังคงใช้วาจาเหยียดหยามเธออีกเช่นเดิม
“นี่เอื้อย! ถ้าสิยังมาปากมากอยู่จังซี่อีก ระวังสิถืกเด็กบ้านนอกซอยดัดแข่วให้เด้อ ดัดแข่วแล้วกะซอยดัดนิสัยนำแน บ่แม่นว่าหากัดคนไปทั่วแบบนี้” (นี่พี่! ถ้าจะยังปากดีอยู่แบบนี้อีก ระวังจะถูกเด็กบ้านนอกช่วยดัดฟันให้นะ ดัดฟันแล้วก็ช่วยดัดนิสัยบ้าง ไม่ใช่ว่าหากัดคนไปทั่วแบบนี้) ชนิดาพูดเป็นภาษาบ้านเกิดทันที เพราะชักจะทนไม่ไหวเช่นกันที่หญิงสาวเอาแต่คอยเหน็บแนมเธอ
“อีนังเด็กบ้า คอยดูเถอะฉันจะ...” เอมราซึ่งพอที่จะจับใจความได้ว่าชนิดาพูดอะไร ก็โมโหขึ้นมาทันที
“ฟ้องโล้ด ไผย้านล่ะ...” (ฟ้องเลย ใครกลัวล่ะ) ชนิดาชิ่งพูดดักทางเสียก่อน แล้วเธอก็เดินสะบัดกระโปรงพริ้วเข้าไปห้องทำงานของผู้บริหารทันที โดยไม่สนว่าผู้ช่วยสาวจะมีท่าทีอย่างไร
“ฝากไว้ก่อนเถอะ นังเด็กบ้า”

