EP05 [เจ้ากระต่ายตัวน้อย]
เยี่ยนหลีใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักที่อยู่ท้ายจวนอ๋องมาจวบจนเวลากว่าสามเดือนได้ผ่านพ้นไป ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้นางไม่ได้เยื้องย่างออกไปจากตำหนักของตนเองเลยแม้เพียงครึ่งก้าว อีกทั้งความทรงจำที่ดูเลือนรางของร่างนี้ บัดนี้ก็เริ่มที่จะปรากฏชัดเจนขึ้นมาในความทรงจำทีละน้อย
ใบหน้าเด็กสาววัยเพียงสิบแปดปีที่ก่อนหน้านี้มีแต่ความเศร้าหมองและดูอมทุกข์ ตอนนี้ดวงตาคู่สวยได้กลับมาส่องประกายสดใส ด้วยว่าเมื่อปล่อยวางเรื่องราวในอดีตทิ้งไป เยี่ยนหลีก็นับได้ว่าตัวนางเองนั้นก็มีวาสนาอยู่ไม่น้อย
อย่างน้อยสมบัติที่บิดาทิ้งไว้ให้นั้นก็นับว่ามากล้น อีกทั้งความเป็นอยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ก็ไม่ได้มีความยากลำบากแต่อย่างใด แม้จะไม่เป็นที่รักใคร่ของผู้เป็นสามี แต่นางก็ไม่คิดที่จะเก็บมาใส่ใจ
เยี่ยนหลีเริ่มหันมารักและดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองมากขึ้น ร่างกายที่เคยแลดูอ่อนแอขี้โรค ยามนี้ถือได้ว่ามีทรวดทรงที่ดูเข้ารูปชัดเจน ด้วยว่าเยี่ยนหลีนั้นออกกำลังกายและใส่ใจในเรื่องอาหารการกินอยู่ไม่น้อย ไหนจะผิวพรรณที่เนียนขาวอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อเจ้าตัวได้หันมาดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้นกลับยิ่งดูกระจ่างใสแลดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
ดวงตาที่เคยเศร้าหมอง บัดนี้กลับมีเพียงความซุกซนและดื้อรั้นที่แฝงอยู่ในแววตา จมูกโด่งรั้นแลดูเชิดขึ้นรับกับใบหน้าแสนหวาน ส่งผลให้เจ้าตัวดูสดใสและร่างเริงสมวัยขึ้นมาอยู่ไม่น้อย
ด้วยความน่ารักและสดใสนี้ ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกหลุมรักนางได้อย่างไม่ยากเย็น หากแต่ที่กล่าวว่าไม่ยากเย็นนั้นคืออีกฝ่ายต้องมาพบเห็นนางเสียก่อน แต่ด้วยความที่ไม่ชอบเรื่องราววุ่นวายใดๆ ในชีวิตอีกต่อไปแล้ว เยี่ยนหลีจึงได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ภายในตำหนักไม่ออกมาพบหน้าผู้คนเลยแม้แต่น้อย
เมื่อสามเดือนผ่านพ้นไป เยี่ยนหลีที่ไม่ใส่ใจการแก่งแย่งชิงดีใดๆ ในจวนอ๋อง ท้ายที่สุดแล้วนั้น นางก็ได้หลุดพ้นจากการรบกวนของเหล่าอนุและคนอื่นๆ ในจวนอย่างที่นางได้วาดหวังไว้เสียที
ในแต่ละวันหลังจากที่เยี่ยนหลีว่างเว้นจากการออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ ในยามเช้า นางก็จะออกไปนั่งจิบชาและอ่านหนังสือต่างๆ ของยุคนี้เงียบๆ เพียงลำพัง เรียกว่าได้ กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ได้ปลอบประโลมความเจ็บปวดในใจของนางนั้นให้บางเบาลงไปได้อย่างไม่น้อย
ความเป็นอยู่ที่เงียบสงบถึงเพียงนี้ ขอเพียงมีชาดีๆ ให้นางสักกาและตำราดีๆ สักเล่ม เพียงแค่นี้ เยี่ยนหลีก็พร้อมตัดขาดจากโลกภายนอกทั้งปวงแล้ว และในวันนี้ก็เช่นกัน
“จื่อหยาง เจ้าจงไปเตรียมชาและขนมกุ้ยฮวาให้ข้าสักจานเถิด ข้าจะไปอ่านตำราที่ท้ายตำหนักสักหน่อย” เยี่ยนหลีกล่าวจบก็ได้เดินนำสาวใช้คนสนิทไปรอยังที่ประจำที่เจ้าตัวนั้นชื่นชอบที่จะมาอ่านวรรณกรรมยุคนี้เงียบๆ เพียงลำพัง และที่แห่งนั้นก็คือ ป่าไผ่ที่อยู่ติดกับกำแพงด้านหลังตำหนักของนางนั่นเอง
เยี่ยนหลีค้นพบที่ที่แสนสงบแห่งนี้เมื่อครั้งที่นางได้ลอบออกมาเดินสำรวจพื้นที่ของจวนอ๋องกับจื่อหยางเมื่อไม่นานมานี้
ซึ่งนอกจากความสงบของที่แห่งนี้แล้ว ด้านหลังที่อยู่ไกลออกไปเพียงหนึ่งลี้ที่เป็นภูเขาสูงชันก็ยังมีน้ำตกเล็กๆ ไหลลงมาก่อให้เกิดลำธารขนาดย่อมที่มีน้ำใสสะอาด เหมาะแก่การหลีกหนีความวุ่นวายและมานอนแช่กายในลำธารแห่งนี้เป็นที่สุด
ด้วยความว่างที่มีมากล้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา จึงทำให้เยี่ยนหลีได้เดินสำรวจพื้นที่โดยรอบนี้จนหมดสิ้นแล้ว
พื้นที่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพื้นที่ในครอบครองของจวนอ๋อง หากแต่พื้นที่หลังจวนที่อยู่ห่างไกลออกมานี้กลับไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาเลยสักครั้ง หลังจากที่เยี่ยนหลีได้เฝ้าสังเกตการณ์มาสักระยะหนึ่งแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เมื่อยามที่ร่างกายนางเริ่มรู้สึกอ่อนล้ามากจนเกินไป เจ้าตัวก็จะแอบมาแช่น้ำที่ลำธารแห่งนี้อยู่เป็นประจำ โดยไม่รู้เลยว่า ที่ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามานั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะพื้นที่แห่งนี้คือสถานที่ส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของจวนอย่างเสวียนเยว่นั่นเอง
เสวียนเยว่ นั้นนับตั้งแต่คราที่ได้จดหมายขอหย่าและกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งที่กล่าวถ้อยคำขอโทษจากเยี่ยนหลีแล้วนั้น เจ้าตัวก็ได้เดินทางออกนอกเมืองหลวงไปยังชายแดนเนิ่นนานจวบจนวันนี้
อ๋องแปดผู้นี้ เดิมทีไม่ว่าตัวเขาจะอยู่หรือไปในจวนอ๋องแห่งนี้ เยี่ยนหลีนั้นล้วนไม่ใส่ใจใดๆ ทั้งสิ้น หากแม้จะกล่าวว่าไม่ใส่ใจ แต่เหล่าอนุมหาภัยทั้งหลายก็ล้วนนำเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้นางฟังในช่วงแรกๆ ไม่เว้นแต่ละวัน เรียกได้ว่า พวกนางนั้นช่างนับว่าเป็นตัวทำลายความสงบสุขที่แท้จริง
ซึ่งจากสิ่งที่เยี่ยนหลีนั้นได้รับรู้มานั้นก็คือ เสวียนเยว่ได้พาพระชายารองคนโปรดอย่าง จื่อเว่ย กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของมารดาของนางที่อยู่แถบชายแดนตามคำบอกเล่าของสามอนุผู้เป็นลิ่วล้อ
‘แหม มีพากันไปฮันนีมูนเสียด้วย จะไปว่าราชการที่ค่ายทหารแถบชายแดนก็ยังไม่วายหนีบภรรยาคนรักไปด้วย ช่างเป็นคู่สามีภรรยาที่ดูรักใคร่กันปานจะกลืนกินเสียจริงๆ’ เยี่ยนหลีที่ไม่มีความศรัทธาในรักอีกต่อไปแล้วนั้นได้แค่กระแนะกระแหนอีกฝ่ายอยู่อย่างเงียบๆ ในใจ
บ่ายวันหนึ่ง ในขณะที่เยี่ยนหลีกำลังเอนกายอ่านตำราอยู่ภายในศาลาเรือนเล็กที่ตั้งอยู่กลางป่าไผ่เพียงลำพังนั้น มือข้างหนึ่งถือตำราไว้ ในขณะที่มืออีกข้างที่ว่างเว้น เจ้าตัวก็ได้ยื่นมือเรียวขาวไปหยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นมากัดคำเล็กๆ ก่อนจะวางส่วนที่เหลือลงไปก่อนจะจิบชาที่อยู่ข้างๆ ตามไปอีกที
ด้วยท่าทีการวางตัวที่แสนเป็นธรรมชาติในยามที่นางได้อยู่เพียงลำพังนั้น กลับดูน่ามองและเป็นที่สะกดใจของคนผู้หนึ่งเป็นอย่างมาก และคนผู้นั้นก็คือเจ้าของจวนอ๋องแห่งนี้นามเสวียนเยว่นั่นเอง
ตัวเสวียนเยว่นั้นแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองที่ตอนนี้กำลังจับจ้องไปที่ร่างของผู้ที่เป็นพระชายาของตนเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่ว่าเขาที่แอบกลับจวนมาเงียบๆ ตั้งแต่เดือนที่แล้วนั้นพบว่านางแอบใช้ชีวิตเช่นนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว
หญิงสาวผู้นี้ช่างไม่เหมือนกับข่าวลือของสตรีที่เขาเคยได้ยินมาเลยแม้แต่น้อย นอกจากนางจะไม่สนใจหรือยั่วยวนในตัวเขาแล้ว นางยังหนีหน้าและไม่ปรารถนาที่จะมาวุ่นวายในจวนอ๋องของเขาอีกด้วย
เจ้ากระต่ายน้อยตัวนี้กระทำตนประหนึ่งว่าเพียงขอแค่ที่กินอยู่และที่หลับนอนภายใต้ตำหนักของนางเองในจวนอ๋องก็เท่านั้น หากแท้จริงแล้วนางปรารถนาเพียงเท่านั้น แล้วสตรีที่มักใหญ่ใฝ่สูงตามคำที่ผู้คนร่ำลือกันเล่า หายไปที่ใดเสียแล้ว
