บทที่ 4
“ลูกขอถวายบังคมกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”
มองเห็นเฟิงเทียนเช่อที่ตัวสูงแปดฉื่อ และรูปร่างใหญ่โตขวางอยู่นอกประตู สีหน้าของเจินกุ้ยเฟยดูแย่มาก “เจ้าเจ็ด หลบไป”
เฟิงเทียนเช่อเอามือทั้งคู่ไพล่หลัง สีหน้าแน่วแน่ “เหนียงเหนียงครั้งนี้โปรดเชื่อเช่อเอ๋อร์ด้วย เช่อเอ๋อร์จะไม่ทำร้ายพี่หก นางมีวิธีช่วยชีวิตคนได้จริงๆ”
เจินกุ้ยเฟยฉุนเฉียว เข้าไปแล้วยกมือตบหน้าของเฟิงเทียนเช่อทีหนึ่ง “เฟิงเทียนเช่อ! หญิงแพศยากระจอกๆ คนหนึ่ง นางมีสถานะแบบใดเจ้าไม่รู้หรือ? ถ้านางทำร้ายเทียนจี๋แล้ว ฆ่าทั้งตระกูลหนานของนางทิ้งยังไม่พอให้ชดใช้!”
เฟิงเทียนเช่อโดนตบหน้ามาทีหนึ่งแล้ว สายตาเผยความเย็นเฉียบแวบผ่านไป “สำนักหมอหลวงล้วนยอมแพ้กันแล้ว ไม่มีหนทางแล้ว นี่เป็นความหวังสุดท้าย”
“ความหวัง? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ได้มาเพื่อทำร้ายเทียนจี๋? หลบไป! ข้าจะไม่ให้ผู้หญิงคนนี้แตะต้องเทียนจี๋เด็ดขาด นางไม่คู่ควร!”
เฟิงเทียนเช่อขมวดคิ้ว “ช่วยได้หรือไม่ รออีกสักหนึ่งก้านธูป หลังจากหนึ่งก้านธูปไปแล้วเหนียงเหนียงก็รู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เฟิงเทียนเช่อ! ข้าสั่งให้เจ้าหลบไป!”
“ข้าไม่หลบ!”
ทันใดนั้น คนทั้งเรือนล้วนตกใจจนไม่กล้าพูดจา
เฟิงเทียนเช่อเป็นท่านอ๋องเจ็ดที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยตนเอง ตอนเป็นเด็กก็ยกทัพจับศึกด้วยกันกับท่านอ๋องหกเฟิงเทียนจี๋ นิสัยโกรธง่าย และมีเพียงเฟิงเทียนจี๋ปราบได้อยู่หมัด ถ้าไม่ใช่เพราะเจินกุ้ยเฟยเป็นมารดาของเฟิงเทียนจี๋ กลัวว่าเขาคงไม่ไว้หน้าตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะเหตุนี้ เผชิญหน้ากับเฟิงเทียนเช่อที่ดื้อรั้นเช่นนี้ แม้แต่เจินกุ้ยเฟยก็ไม่กล้าฝืนบุกเข้าไป
เวลานี้ หนานจาวเสวี่ยที่อยู่ในห้องก็นั่งอยู่ขอบเตียง จ้องเฟิงเทียนจี๋โดยไม่กะพริบตา ในที่สุด ตาเฉี่ยวภายใต้ขนตายาวคู่นั้นค่อยๆ ลืมขึ้นมา
สบตากับหนานจาวเสวี่ย สายตาของเขาขุ่นมัวแค่วินาทีนั้น ระหว่างกะพริบตาก็แจ่มใสขึ้นมากแล้ว
หนานจาวเสวี่ยโล่งอกไปทีหนึ่ง โค้งมุมปาก “เจ้ากลับมีน้องชายที่ไม่เลวเลยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา วันนี้เจ้าได้เสียใจจริงแล้ว”
เฟิงเทียนจี๋อยากขยับ กลับพบว่าทั่วทั้งตัวขยับไม่ได้
“ข้าไม่ได้ดึงเข็มออก เจ้าอย่าฝืนขยับเลย ไม่ง่ายกว่าที่จะช่วยชีวิตของเจ้ากลับมาได้ ถ้าตอนนี้เจ้าฝืนขยับตัว เจ้าก็ตายแน่แล้ว”
เฟิงเทียนจี๋กะพริบตานิดหน่อย หนานจาวเสวี่ยพลิกตัวแล้ว คร่อมบนเอวของเขาอีกรอบ
! ! !
ชั่วขณะนั้นเฟิงเทียนจี๋เบิกตาโตแล้ว มือน้อยๆ ของหนานจาวเสวี่ยไต่ขึ้นหน้าอกของเขาแล้ว ลูบอย่างสนใจบ้างไม่สนใจบ้าง “กลัวอะไรกัน? ข้าดึงเข็มออกให้เจ้า ไม่ได้จะกินเจ้าเสียหน่อย?”
หนานจาวเสวี่ยดึงเข็มออกให้เขาจริงๆ แต่ว่าความเร็วของนางช้ามาก เหมือนกำลังชื่นชมสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง เฟิงเทียนจี๋ถูกนางมองจนขนตั้งชันขึ้นมาทั้งตัวแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ สรุปแล้วรู้หรือไม่ว่าอะไรเรียกว่ายางอาย?
ฉวยโอกาสตอนเขาสลบใช้ปากป้อนยาให้เขา อย่าคิดว่าเขาไม่รู้!
คาดไม่ถึงว่ายังกล้าจงใจยั่วยุเขาอีก
เข็มสิบสามเล่ม ดึงออกไปแล้วสิบสองเล่ม หนานจาวเสวี่ยจงใจเหลือเข็มไว้เล่มหนึ่ง เตรียมเจรจากับผู้ชายคนนี้
“เฟิงเทียนจี๋ ข้าขอแนะนำตัวเองก่อนสักหน่อย ข้า ก็คือหนานจาวเสวี่ย ข้าไม่ได้ตาย คนของตระกูลหนานอยากได้ตำแหน่งของพระชายาอ๋องจ้าน อยากจะเอาป้ายพยัคฆ์ขาวของเจ้ามาครอง ข้าไม่ยอม ไม่อยากร่วมมือกับพวกเขา พวกเขาถึงเปลี่ยนข้าออกไป วันนี้เกือบฝังข้าทั้งเป็น”
“ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้แล้ว ข้าไม่ขอให้เจ้าปฏิบัติต่อข้าเหมือนผู้มีพระคุณ แต่ว่าข้าคนนี้หยิ่งยโสมาแต่ไหนแต่ไร รับความไม่เป็นธรรมไม่ได้”
“ข้าก็ไม่ได้เรียกร้องจะแต่งกับเจ้า แต่เรื่องราวกำหนดไว้แล้ว ข้ารับรองได้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้ามีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งร้อยปี และเจ้าต้องรับรองว่าข้าดำรงตำแหน่งพระชายาอ๋องจ้านอันนี้อย่างมั่นคงปลอดภัย”
“ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร เพื่อป้ายพยัคฆ์ขาวแล้ว ตระกูลหนานวางแผนทำร้ายเจ้า วางแผนทำร้ายข้า พวกเราร่วมมือกัน ค้นหาผู้บงการเบื้องหลังให้เจอ เจ้าหาคนที่ลอบทำร้ายเจ้าเจอ ข้าทำเรื่องของข้าเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายกันไป”
“ข้าอยากไปเมื่อใดเจ้าก็ไม่สามารถห้ามข้าได้ ทำได้หรือไม่? ถ้าทำได้ เจ้าก็กะพริบตา ถ้าไม่รับปาก ตอนนี้เจ้าก็ไปตาย......อ๊า!”
หนานจาวเสวี่ยรู้สึกว่าร่างกายเสียการทรงตัว ผู้ชายที่เดิมทีไม่สามารถขยับได้ คาดไม่ถึงว่าจับเอวของนางไว้ ในขณะที่วิงเวียน นางถูกชายหนุ่มกอดไว้ในขาแล้ว ไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่นอนอยู่ลุกขึ้นนั่งตั้งแต่เมื่อไหร่
ชั่วขณะนั้นหนานจาวเสวี่ยเบิกดวงตาโตแล้ว “ทำไมเจ้า......”
เฟิงเทียนจี๋ก้มหน้าทันที งับริมฝีปากของหนานจาวเสวี่ยไว้อย่างแม่นยำ กัดลงไปทีหนึ่งแล้ว
“อ๊า!”
หนานจาวเสวี่ยเจ็บจนร้องตกใจทีหนึ่ง
ชายหนุ่มปล่อยนางออกอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องจับ เพียงแค่รสหวานและคาวในปาก หนานจาวเสวี่ยก็รู้ว่าริมฝีปากของตนเองถูกผู้ชายคนนี้กัดจนแตกแล้ว
หนานจาวเสวี่ยโมโห “เจ้าอยากตายหรือ!”
สายตาของเฟิงเทียนจี๋ชั่วร้ายและเย็นชา “ข้าคนนี้ ไม่ชอบเสียเปรียบมาแต่ไหนแต่ไร เจ้าเอาเปรียบข้าแล้ว ข้าเอาคืนบ้าง ผิดด้วยหรือ?”
ชั่วขณะนั้นหนานจาวเสวี่ยนึกถึงการกระทำที่ตนเองป้อนยาเขาแล้ว สีหน้านางไม่พอใจ “นั่นเพราะข้าทำเพื่อช่วยชีวิตเจ้าไม่ใช่หรือ?”
“ข้าก็ทำเพื่อช่วยชีวิตเจ้าเช่นกัน”
“เจ้าช่วยข้า เจ้าช่วยกับ......”
คำพูดของหนานจาวเสวี่ยชะงัก ทันใดนั้นก็หยุดลงมาแล้ว
เฟิงเทียนจี๋วาดริมฝีปากขึ้น “ดูท่า เจ้าคงรู้แล้ว”
หนานจาวเสวี่ยเลิกคิ้วมองทางชุดแต่งงานชุดนี้ของตนเอง “เจ้าไม่สงสัย ว่าข้าจงใจทำร้ายเจ้า?”
ในชุดแต่งงานมีพิษ ตอนที่นางดึงออกมาก็รู้แล้ว
แต่สำหรับพิษนั้น นางไม่สนใจ อย่างไรเสียก็ทำให้นางตายไม่ได้อยู่ดี
เฟิงเทียนจี๋หัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง “วันนี้คนที่คิดหาหนทางแต่งเข้ามา ไม่ใช่เจ้า?”
ถือว่าเขาฉลาด
หนานจาวเสวี่ยเยาะเย้ย “เหอะ หนานรั่วฉิงกลัวเจ้าไม่ตายจริง ถึงซ่อนพิษเอาไว้บนเสื้อผ้า เดิมทีอยากลองเชิงเจ้า ดีมาก เจ้าผ่านการทดสอบ”
เฟิงเทียนจี๋สามารถถอนพิษนี้ได้ หนานจาวเสวี่ยลูบร่องรอยบนปากที่ถูกกัดจนแตกบ้างแล้ว รับรู้ถึงคาวเลือดในช่องปาก
ในนั้นก็มีเลือดของเฟิงเทียนจี๋ด้วย
เมื่อคิดอย่างนี้ สายตาของหนานจาวเสวี่ยแข็งทื่อทันใด “ข้ายังไม่ได้ดึงเข็มออก เจ้าขยับได้อย่างไร?”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็สังเกตเห็นเข็มเล่มหนึ่งที่ขอบเตียง
เฟิงเทียนจี๋หัวเราะเบาๆ “กำลังภายในของข้าไม่มีคนเทียบได้ แค่เข็มเล่มหนึ่งเท่านั้นเอง บีบออกจากนอกตัวก็ได้แล้ว”
หนานจาวเสวี่ยเกือบโมโหจนหัวเราะออกมา “เมื่อครู่เจ้ายังอยู่ที่ริมหน้าผาแห่งความตาย หรือว่าเจ้าไม่กลัวว่าฝืนใช้กำลังภายในจะทำให้พิษเจ้ากำเริบหนักกว่าเดิม?”
ผู้ชายคนนี้ ยังจองหองเกินเหตุไปบ้างเสียจริง
“พิษในร่างกายข้า ถูกเจ้าขับออกไปครึ่งค่อนหนึ่งแล้ว ข้ายังกลัวอะไรอีก? อีกอย่างหนึ่ง มีหมอเทวดาอย่างนี้คนหนึ่งอยู่ข้างกายข้า ย่อมจะไม่ให้ข้าตายไปเป็นธรรมดา”
......
ผู้ชายคนนี้เอาความมั่นใจมาจากไหนถึงคิดว่านางจะช่วยชีวิตเขาไปตลอด?
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าของร่างเดิมไม่รู้ว่าไปรักผู้ชายคนนี้มาจากที่ไหน เดิมทีนางไม่คิดจะลงมือช่วย ซ้ำยังสิ้นเปลืองยาวิเศษล้ำค่าที่สุดเพียงเม็ดเดียวของนางไปอีกด้วย
เฟิงเทียนจี๋แน่ใจแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะไม่มีอันตรายอะไรต่อเขา จึงผ่อนคลายนิดหนึ่ง “มองเห็นเสื้อผ้าทางนั้นแล้วหรือยัง? ช่วยหยิบเข้ามาให้ข้าที ข้าจะเปลี่ยนชุด”
หนานจาวเสวี่ยขมวดคิ้ว “ข้าไม่ใช่สาวใช้ของเจ้าเสียหน่อย!”
“กว่าจะผ่านยามอู่ ยังเหลือเวลาช่วงสุดท้ายอยู่อีกนิด เจ้าแน่ใจว่าเจ้ายังอยากเสียเวลาต่อไปอีกหรือ?”
หนานจาวเสวี่ยตะลึง ความหมายของเขาคือ?
“ที่เจ้ามาช่วยชีวิตข้า อยากจะไหว้ฟ้าดินกับข้าไม่ใช่หรือ? ไป พวกเราไปไหว้ฟ้าดินกัน”
