บทที่ 7
ธาดานั่งพิจารณาสตรีที่อยู่ตรงหน้า รักษามารยาทที่จะไม่รุ่มร่ามให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังสังเกตพฤติกรรมอยู่ สาวน้อยหน้าแฉล้มผิวสองสี ใบหน้ารูปไข่ริมฝีปากบาง แววตาที่ดูมีความมาดมั่นและท่าทางจะหัวดื้อพอตัว
ผู้หญิงคนนี้คุณย่าบอกว่าจะให้เขาแต่งงานด้วย แต่ท่าทางเธอเหมือนไม่ได้เต็มใจที่จะรู้จักกันสักเท่าไร หนำซ้ำยังดูเฉยเมยเมื่อได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรกด้วย
“นี่ หนูข้าว คนที่ย่าบอกว่าจะแนะนำให้สองรู้จักไงลูก” คุณย่าแนะนำสตรีที่อยู่ตรงหน้าให้รู้จักอย่างเป็นทางการ
สาวิตรีอึดอัดกับบรรยากาศในตอนนี้เหลือเกิน ท่าทางของผู้ใหญ่หลายคนที่เหมือนจะ ฝากความหวัง ให้เธอสร้างความสัมพันธ์กับชายที่อยู่ตรงหน้า
หญิงสาวลอบมองท่าทางกริยาของชายหนุ่ม ใบหน้าคมสันจมูกโด่งได้รูปริมฝีปากบางสีธรรมชาติแสดงว่าสุขภาพดี แต่แววตาไม่ธรรมดาเหลือเกิน ทำให้ไม่กล้าสบตามองตรงๆ เพราะรู้สึกว่ากำลังจะ แพ้ สายตาคู่นั้น
ใครบอกว่าเขาเป็นคนมีโลกส่วนตัว ใครบอกว่าเขาเป็นคนพูดน้อย ใครบอกว่าเขาไม่ศรัทธาว่าความรักแท้มีจริง ไม่ใช่เลยเพียงวูบเดียวที่มองเห็น สาวิตรีก็ตอบตัวเองได้เลยว่า ธาดากำลังโหยหาความรักที่จะได้เป็นเจ้าของจริงๆ ต่างหาก เธอรู้ได้จากอะไรน่ะเหรอ
จากเสียงหัวใจที่บอกว่า เขาไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่คิดไว้แต่ต้น หากแต่เป็นคนมีเปลือกแข็งห่อหุ้ม รอคนรู้ใจมากระเทาะเพื่อเห็นเนื้อในที่นุ่มต่างหาก สาวิตรีไม่กล้าคิดว่าตนจะเป็นคนนั้นที่สามารถเข้าไปถึงหัวใจที่อ่อนโยนของธาดาได้
“หนูข้าวเป็นหลานย่าอีกคน เพิ่งเรียนจบปริญญาโทมา ไม่เคยมีแฟนและน่าจะมีเวลาให้สองได้ตลอดเพราะทำธุรกิจส่วนตัวของตัวเอง” คุณย่าบรรยายสรรพคุณเสร็จสรรพ
“แต่ก็บอกไม่ได้ว่ารักเดียวใจเดียวหรือเปล่า” เขาปรายตามองดูเธออีกรอบ สาวิตรีไม่ได้สวยเฉี่ยวเหมือนใครๆ ที่เคยพบ แต่ก็คงไม่น่าเบื่อที่จะมองหน้าแฉล้มนี้ไปตลอด
“ตาสอง” คุณวีณาปรามลูกชาย
“เอาเป็นว่าพ่ออยากให้แกแต่งงานกับหนูข้าว แกจะว่าไง” คุณธนาใจร้อนเข้าเรื่องเลย
สาวิตรีอึดอัดมากขึ้นไปกว่าเดิม มีใครถามเธอสักคำไหมว่าเธออยากแต่งงานหรือเปล่า เมื่อเช้าก็ต้องอึ้งกับเหตุผลที่คุณย่ายกขึ้นมาขอให้ช่วย จนไม่อาจจะปฎิเสธได้
‘หนูไม่ต้องกลัวถ้าย่าอยู่ เจ้าสองทำอะไรหนูไม่ได้แน่’
‘คุณสองจะทำอะไรหนูคะ คุณย่า’
‘ไม่ต้องกลัวว่ามันจะปล้ำ หรือคิดลวมลามเพราะย่ามีวิธีจัดการ’
‘คุณย่าจะให้หนูแต่งงานกับเขาทำไมคะ เราไม่รู้จักกันซะหน่อยหน้าก็ยังไม่เคยเห็นนิสัยใจคอก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ถ้าอยู่กันไปเกิดมันไปด้วยกันไม่ได้จะเสียเวลาทั้งสองฝ่ายเปล่าๆ’
‘เอาน่า ย่ารับรองว่าเจ้าสองจะต้องชอบหนู แต่ถ้าจะรอให้ชอบก่อนคงไม่ทันแล้ว งั้นก็ข้ามขั้นตอนเลยแต่งงานแล้วค่อยไปทำความรู้จักกันทีหลัง หนูอย่ายอมมันเด็ดขาดถ้าไม่ได้รักมัน จำไว้’
‘คุณย่า’
‘ช่วยย่าสักครั้ง ย่าสงสารเจ้าสองถ้ามันจะถูกผู้หญิงหลอกซ้ำ หนูแค่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา ให้เขารู้สึกว่าต้องดูแลหนูในฐานะภรรยา ที่เหลือธรรมชาติมันจะดำเนินไปเอง’
“ผมขอคุยกับว่าที่เจ้าสาวของผมหน่อยได้ไหมครับ” ธาดาชำเลืองมองมาที่สาวิตรีเล็กน้อย
“ผมยังไม่รู้เลยว่าเสียงเธอบาดแก้วหูผมไหม หรือว่าเธอเดินก้นส่ายเอวบิดหรือเปล่า หรือว่า...”
“พอแล้วเจ้าสอง ไป ไปเลย ไปคุยกันเลย”
บิดาส่ายหัวกับเจ้าลูกคนนี้จริงๆ บทจะกวนก็กวนไม่เหมือนใคร บทจะซึ้งก็ซึ้งจนคนอื่นคาดไม่ถึง ไม่รู้ว่าลูกคนนี้ผิดพลาดทางอารมณ์ตอนไหน เห็นทีเขาต้องกลับไปทบทวนกับภรรยาหน่อยแล้ว
สาวิตรีอึดอัดกับสายตาที่จ้องมองชนิดที่เรียกว่าไม่หันเหไปไหนเลย หลังจากที่ผู้ใหญ่พากันออกไปจากห้องโถงแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเธอกับเขาสองคนเท่านั้นไม่รู้ว่าจะสัมภาษณ์อะไรอีก
“ทำไมถึงยอมแต่งงานกับฉัน” เขาเอ่ยถามเป็นคำแรก
“ฉันไม่ได้คิดว่ามาที่นี่เพื่อจะแต่งงานกับคุณ ฉันเพิ่งรู้เรื่องเมื่อเช้าตอนจะกลับบ้านเท่านั้น”
“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมถึงยอมแต่งงานกับฉัน” เขาย้อนคำถามเดิม สาวิตรีนิ่งไปชั่วขณะ อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมและเพราะอะไรถึงได้ไม่ปฎิเสธคำขอของคุณย่า
“ฉันสงสารคุณย่า” สาวิตรีคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลนี้
“แต่ไม่สงสารตัวเอง” เขาหรี่ตาสำรวจเหมือนจะมองให้ทะลุไปถึงข้างในใจของเธอ
“ผู้หญิงถ้าแต่งงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็เรียกว่าแม่หม้าย ถ้าเธอไม่ประสบความสำเร็จในการแต่งงานกับฉัน คำว่าแม่หม้ายก็จะอยู่กับเธอไปจนตายนะ แล้วเธอยังยืนยันจะแต่งงานกับฉันอีกเหรอ” คราวนี้น้ำเสียงเขาดูเย็นชามากขึ้น ธาดาไม่คิดว่าจะมีใครกล้าจะพิสูจน์ทฤษฎีความรักกับตนแน่ๆ
“ฉันไม่ได้แต่งงานกับคุณเพราะตัวคุณ แต่ฉันยอมแต่งงานกับคุณเพราะคุณย่า คุณย่ามีบุญคุณกับฉันและฉันก็สงสารท่านที่ต้องมาทุกข์เพราะ...”
“เพราะอะไร” ชายหนุ่มถามต่อทันที
“การแต่งงานของเราเกิดขึ้นในนามเท่านั้น ประเด็นของการแต่งงานในครั้งนี้ก็คือ...” หญิงสาวเบี่ยงประเด็นที่จะต้องพูดต่อ
“คือแยกฉันออกจากปลายฟ้า” เขาต่อให้เสร็จ
“คุณรู้” สาวิตรีทวนคำอย่างประหลาดใจ
“ใช่ ฉันรู้” เขาพยักหน้ารับ
“รู้ว่าทุกคนเป็นห่วงกลัวว่าฟ้าจะมาทำอะไรให้ฉันเสียใจอีก แต่เปล่า เราเป็นแค่เพื่อนกัน แค่เพื่อนเท่านั้นจริงๆ” ปลายเสียงย้ำชัดเจนมาก
“แล้วทำไมไม่บอกคุณย่าหรือคนอื่นไปซะว่าคุณกับ เอ่อ เป็นแค่เพื่อนกัน” หญิงสาวคิดว่าทางออกนี้น่าจะดีกว่าการแต่งงาน
“ก็บอกไปแล้วไม่มีใครเชื่อ ทุกคนบอกว่าถ้าบริสุทธิ์ใจจริงก็ต้องแต่งงาน อย่างน้อยการแต่งงานคือทางออกที่ดีที่สุดให้ฟ้าไม่วุ่นวายกับผมมากไปกว่านี้ คงกลัวผมใจอ่อนมั้ง”
“แน่ใจนะว่าจะแต่งงาน” ธาดาวกกลับมาหาเธอต่อ
“ถ้าแน่ใจ งั้นเรามาทำข้อตกลงกัน”
บ้านบริบาลภิรักษ์กำลังจะมีข่าวดีเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ธาดากับสาวิตรีตกลงกันได้ว่าจะแต่งงานกันตามความต้องการของผู้ใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกันนานสองนานในห้องโถงนั้น ทุกคนรู้แต่ว่าอีกสองอาทิตย์ตามฤกษ์สะดวกที่คุณย่ากำหนดขึ้น ทั้งคู่จะแต่งงานกันสาวิตรีจะมาเป็นสะใภ้เล็กของบ้าน
“ใครเหรอคะ คนที่จะมาเป็นสะใภ้บ้านเราอีกคน” มาลินีถามธวัชชัยเมื่อรู้เรื่องจากปากสามี
คืนนี้ชายหนุ่มกลับเร็วเพราะมีนัดทานข้าวกับที่บ้าน ส่วนเธอเพิ่งกลับจากออฟฟิศเพราะต้องประชุมกับลูกค้าจึงไม่ได้ฟังข่าวดีด้วย
“เห็นบอกว่าคุณย่าหามาให้น่ะ ชื่อข้าวนะ”
“ทำไมจู่ๆ คุณสองถึงคิดจะแต่งงานคะ ก็มาเพิ่งเห็นควงกับไกด์สาวคนนั้นอีกแล้ว ทำไมเป็นคนนี้ได้” หญิงสาวแทรกตัวลงไปในผ้าห่มผืนใหญ่
