บทที่4
บทที่ 4
หลงจางรู้ว่าตัวเองกดดันลูกสาวมากเกินไป เช้าวันถัดมาเขาจึงคิดจะบอกว่าที่จริงเขาก็ไม่ได้เร่งรีบขนาดนั้น เพียงแค่เตรียมทางออกเอาไว้ให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาก่อนก็เท่านั้น
ภายในห้องอาหารของตระกูลหลงเหล่าสาวใช้กำลังทำงานอย่างมีระเบียบเหมือนทุกวัน
โต๊ะอาหารถูกจัดวางอย่างสมบูรณ์แบบ ข้าวตุ๋นที่มีโสมและสมุนไพรที่ปรุงอย่างพิถีพิถันวางลงตรงหน้าของเหล่าเจ้านายในบ้าน
หลงจางที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะมองจิ่งจินเฟิ่งที่ดูเงียบกว่าทุกวัน
“ขอบคุณค่ะ” จินเฟิ่งพูดเบา ๆ เมื่อสาวใช้วางอาหารตรงหน้า ท่าทางสงบนิ่งดูเหมือนไม่มีอะไรคงหลอกทุกคนได้ แต่กลับหลอกสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้
“เสร็จแล้วก็ออกไป” บรรดาสาวใช้ต่างเดินห่างออกไปรวมถึงบรรดาบอดีการ์ดและลูกน้องของหลงจางด้วย ในห้องจึงเหลือเพียงแค่สมาชิกครอบครัว
เหม่ยหนิงยิ้มให้กับลูกสาวอย่างอบอุ่น "เช้านี้อากาศดีมากนะ แต่หนาวหน่อย ๆ ใส่เสื้อหนาขึ้นอีกนิดก็ดีนะคะ” เธอไม่ได้บอกกับสามีเพราะเรื่องนั้นเตรียมให้ตั้งแต่ในห้องแล้ว
แต่กำลังบอกกับลูกสาวที่เธอรักที่สุด ไม่ว่าใครจะบอกอย่างไร สำหรับเหม่ยหนิงแล้วจินเฟิ่งเป็นแก้วตาดวงใจของเธอ เป็นหญิงสาวที่ทั้งเก่งและงดงามที่สุด
แม้การอยู่ในตระกูลหลงจะเต็มไปด้วยกฎระเบียบความกดดันและความคาดหวัง แต่สำหรับคนเป็นแม่อย่างเธอแล้ว ก็แค่อยากจะเป็นภรรยาที่ดีของหลงจาง และแม่ที่ดีของจินเฟิ่งเท่านั้น
“เรื่องที่ป๊าบอกเมื่อวานหนูก็ไม่ต้องกังวลไป ป๊าบอกเพื่อให้หนูมีเวลาค่อย ๆ คิด ป๊าไม่ได้อยากเร่งอะไรมากนัก”
“ค่ะ หนูเข้าใจ” แม้จะบอกออกไปแบบนั้น แต่ความจริงจินเฟิ่งก็รู้ดีว่าทุกอย่างมันถูกกำหนดเอาไวแล้ว เหลือแค่ตกลงวันที่ชัดเจนเท่านั้น การที่พ่อของเธอพูดแบบนี้ในวันนี้ก็คงคิดว่าเร่งรัดเธอเร็วไปก็เท่านั้น แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่ดี
เหมือนทุกเรื่องที่เธอเคยผ่านมา รวมถึงเรื่องที่เธอเป็นหญิงนี่ด้วย แม้หลายคนจะบอกว่าไม่เป็นอะไร เธอมีความสามารถ แล้วสุดท้ายก็จบลงแบบนี้ อย่างไรก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ได้ง่าย ๆ เพราะเรื่องนี้มีผลต่ออนาคตของแก๊งหลง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป๊า หนูทำใจแล้วป๊าพูดอย่างนี้อย่างไรหนูก็ต้องแต่งกับเฮียจางหยง"
“ป๊าดีใจที่หนูตัดสินใจได้ง่าย ๆ” เหม่ยหนิงมองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง จินเฟิ่งเติบโตมาในตระกูลนี้ จึงทำให้เธอมีความรับผิดชอบมากกว่าคนทั่วไป แม้จะรู้สึกอะไรก็คงไม่แสดงออกมาชัดหรอก
“เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่หนูยังติดใจ ทำอย่างนี้ไม่ต่างกับหนูเป็นตัวร้ายไปแย่งเฮียมาจากคนรักของเขาเลยนะคะ”
คำพูดของจินเฟิ่งทำให้ห้องอาหารเงียบลงชั่วขณะหนึ่ง เหม่ยหนิงยิ้มบาง ๆ และมองไปที่ด้านหลังของลูกสาวที่มีแขกสำคัญกำลังเดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณลุง คุณอาเหม่ยหนิง” จางหยงกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาแล้วหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ที่จินเฟิ่งนั่งอยู่
“มาแต่เช้าเลยนะ ไปธุระที่ไหนมาล่ะถึงผ่านมา” หลงจางพูดพร้อมกับผายมือให้ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ ลูกสาวของเขา นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จางหยงจะปรากฏตัวในตระกูลหลงโดยไม่ได้บอกกล่าว
“ตั้งใจมาที่นี่เลยครับ ขอโทษนะครับ ขอฝากท้องสักมื้อนะครับ” จางหยงกล่าวอย่างเป็นกันเอง เขาหันไปยิ้มให้กับจินเฟิ่งเล็กน้อย เขาได้ยินคำของหญิงสาวทั้งหมดและก็เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของหญิงสาว แต่เขาคิดว่ายังไม่ควรที่จะพูดสิ่งที่สำคัญในตอนนี้
ทันทีที่จางหยงนั่งลง บรรดาสาวใช้ที่ตามเข้ามาก็เร่งนำอาหารมาวางตรงหน้าชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
จินเฟิ่งมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ ในใจยังคงครุ่นคิดถึงคำถามที่ค้างคาแต่จางหยงกลับไม่ได้เอ่ยถึงและทำเพียงแค่ยิ้มตาหยีผิดจากนิสัยที่ทุกคนเห็นมาให้เธอก็เท่านั้น
หลงจางและจางหยงเริ่มพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ทั้งสถานการณ์ทางธุรกิจของตระกูลหลงกับตระกูลจางและการขยายตลาดในต่างประเทศ รวมไปถึงการเตรียมพร้อมสำหรับงานประจำปีระหว่างแก๊งต่าง ๆ ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับปีนี้ก็คงเหมือนปีที่ผ่าน ๆ มา” จินเฟิ่งฟังแล้วก็ยิ่งคิดถึงคำถามก่อนหน้า หากบอกว่าเหมือนปีที่ผ่าน ๆ มา อีกฝ่ายก็คงจะควงบรรดานางแบบหรือดารามาเหมือนเคย
“ที่จริงผมเข้ามาก็เพราะจะคุยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน...” จางหยงหันมองคนที่เอาแต่ถอนหายใจและก็กินข้าวโดยไม่ได้พูดคุยกับเขาเหมือนอย่างที่เคย และไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าตอนนี้ทุกคนหันไปมองที่เธออยู่
“แต่คงต้องคุยกับทางนี้ก่อน” จางหยงพูดกับพ่อแม่ของหญิงสาว แต่ดูเหมือนเจ้าของประเด็นสำคัญกลับใจลอยไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ป๊าม๊า เฮียหยงหนูขอตัวก่อนนะคะ” จินเฟิ่งพูดขึ้นเมื่อเธอกินอาหารตรงหน้าหมดและสาวใช้เริ่มเก็บจานของเธอบนโต๊ะออกไป
“หนูว่าจะไปที่ลานฝึกก่อนค่ะ” หญิงสาวกำลังจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปโดยไม่ได้ทักทายกับจางหยงแม้แต่คำ เพียงแค่แจ้งอีกฝ่ายเป็นมารยาทเท่านั้น ซึ่งชายหนุ่มก็มองออก
“อยู่คุยกับเฮียก่อน” ไม่เพียงแค่พูดแต่มือแกร่งยังจับเอาไว้ที่ข้อมือของหญิงสาวที่กำลังจะเดินออกไป
