บทที่1
บทที่ 1
หญิงสาวที่เพิ่งกลับมาจากการฝึกซ้อมประจำวันรีบกลับเข้าห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อทานอาหารเย็นกับครอบครัว แต่เมื่อเดินเข้ามาภายในห้องอาหาร จินเฟิ่งถึงกลับกลอกตามองเพดานชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเปิดเผย
“อาเฟิ่งมานั่งสิ” ประมุขของแก๊งรีบเรียกบุตรสาวให้มานั่งประจำที่ก่อนที่เธอจะอ้าปากเอ่ยคำใดออกมาให้บรรยากาศเสีย แต่ก็ไม่ทัน
“ไม่รู้นะคะว่าอาหารที่บ้านเราอร่อยจนมีใครบางคนมาฝากท้องได้ทุกอาทิตย์” ไม่ว่าเปล่า เธอเดินไปทิ้งตัวลงนั่งอย่างไม่พอใจ แยกบ้านออกไปตั้งหลายสิบปี พอคุณอาของเธอเสียเมื่อหลายปีก่อน อาสะใภ้ก็เทียวแวะเวียนมาที่บ้านเธอ หากเพราะอยากสนิทสนมแบบครอบครัวเธอก็ไม่อยากเสียมารยาทหรอก
“พี่สะใภ้กดดันอาเฟิ่งมากไปหรือเปล่าคะ ดูสินับวันคำพูดคำจาเริ่มไม่เป็นกุลสตรีเข้าไปทุกวัน” หยางไฉเอ่ยขัดขึ้นมาในทันที
เหม่ยหนิงทำเพียงส่งยิ้มแห้งกลับไป หันไปสั่งให้คนรับใช้ยกอาหารมาเสิร์ฟ เธอเองก็ไม่ได้ชอบใจที่น้องสะใภ้มาหาทุกอาทิตย์หรือ จู่ ๆ ก็โพล่มาบ่อย ๆ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ เธอเองก็เป็นเพียงสะใภ้ อีกฝ่ายอย่างไรก็เป็นคนในครอบครัว
เมื่อเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ไม่โต้ตอบหยางไฉก็รีบเอ่ย
“เนี่ยถ้าเฮียฟังฉันตั้งแต่สมัยรุ่น ๆ รับน้องสาวของฉันมาเป็นเมียสอง ป่านนี้มีลูกชายสืบสกุลแล้วไม่ต้องมากดดันให้จินเฟิ่งทำอะไรเกินตัวแบบนี้ เฮียก็รู้ผู้หญิงตระกูลฉันคลอดลูกชายกันหัวปีท้ายปีกันทุกคน เนี่ยถ้าสามีฉันไม่ถูกยิงตายไปก่อนป่านนี้ฉันมีลูกชายอีกคนแล้ว”
พูดกับประมุขของบ้านไปก็คีบอาหารใส่ชาม จางกั๋วชิ่ง ลูกชายคนเดียวของตนเอง ที่มาบ้านใหญ่ไม่ใช่ว่าหยางไฉอยากมาปะทะคารมกับคนพวกนี้ แต่ในเมื่อผู้นำแก๊งไม่มีลูกชายสืบสายเลือด ก็ควรจะเป็นบุตรชายของเธอที่อยู่อันดับต่อไป ไม่ใช่ยกให้นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างจินเฟิ่ง หยางไฉเทียวไล้เทียวขื่อเพื่ออยากให้หลงจางเห็นบุตรชายของเธออยู่ในสายตา แม้เธอจะเป็นเพียงสะใภ้รอง แต่ถ้านับเอาจริง ๆ หากไม่มีจินเฟิ่ง จางกั๋วชิ่งก็คือผู้นำคนต่อไป
“เอาไว้ให้เฮียชิ่งชนะการต่อสู้ตัวต่อตัวกับหนูได้ก่อนเถอะค่ะคุณอา ค่อยเสนอยกตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ชิงตำแหน่งทายาท ต่อให้ผู้อาวุโสจะไม่ชอบที่หนูเป็นผู้หญิง แต่ก็คงไม่ยกตำแหน่งให้ผู้ชายที่แม้แต่สู้มือเปล่าตัวต่อตัวกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ยังแพ้หรอกค่ะ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น แต่เหมือนแก๊งอื่น ๆ เขาก็พอรู้ ผู้อาวุโสของแก๊งเลยไม่กล้าเสนอชื่อเฮียไงคะ”
ปัง
“ไม่ใช่แกหรือไงที่ปล่อยข่าวลือพวกนั้น” จางกั๋วชิ่งทุบฝามือลงบนโต๊ะอย่างแรง
“อาชิ่ง!” ชายชราปรามเสียงเข้ม
“ขอโทษครับคุณลุง” จางกั๋วชิ่งรีบปรับสีหน้าพยายามข่มอารมณ์เอาไว้จนเผลอกัดกระพุ้งแก้มจนเลือดไหล
“อาเฟิ่ง เบา ๆ หน่อยลูก” ชายชราไม่ลืมที่จะปรามบุตรสาว
“หนูพูดเรื่องจริงนิคะ ถ้าเฮียเก่งอย่างที่อาสะใภ้ยกหาง ป่านนี้ได้ตำแหน่งทายาทไปนานแล้ว”
“อาเฟิ่ง!”
จินเฟิ่งรีบหุบปาก เมื่อรู้ว่าบิดาใกล้ถึงเส้นความอดทน เธอก็รู้หรอกว่าตนเองเสียมารยาท จิกกัดเธอได้ แต่การพูดกลาย ๆ ยกเรื่องเก่า ๆ ว่ามารดาของเธอไม่มีความสามารถให้กำเนิดลูกชายให้บิดาเธอ เพราะหลังจากคลอดเธอก็ตกเลือดหนัก อาการเป็นตายเท่ากัน แค่รอดมาได้ก็ดีเท่าไรแล้ว ยังจะร่ำร้องให้บิดาของเธอรับผู้หญิงอื่นมาเป็นเมียสอง ให้มารดาเธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ดีที่บิดาเธอไม่บ้าจี้ทำตาม ไม่งั้นเธอคงเห็นมารดานั่งน้ำตานองหน้าเหมือนภรรยาหลวงของผู้นำแก๊งอีกสามแก๊ง
“ก็เพราะเฮียตามใจแบบนี้ไงคะ” หยางไฉเตรียมจะหาข้อด้อยมากดคู่แข่งบุตรชายของตน
“อาเฟิ่งต้องขึ้นเป็นผู้น้ำแก๊งคนต่อไป อาจจะแข็งกระด้างไปบ้าง แต่ก็เพราะต้องคุมคนหลายร้อยชีวิต หากอ่อนแอและยอมคนก็จะเสียระบบ ฉันเองก็ไม่ชอบที่เธอมากินข้าวบ้านฉันแต่กลับพูดถึงเมียฉันแบบนี้”
หลงจางไม่ลืมที่จะเตือนสติน้องสะใภ้ แม้รู้ดีว่าที่ผ่านมาเป็นตนเองที่ปล่อยให้หยางไฉเข้ามาแสดงตนในบ้าน แต่ก็เพราะเห็นแก่น้องชายที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นเพราะเขาเองที่ไม่เด็ดขาดถึงได้มีเรื่องว้าวุ่นใจมาถึงลูกกับภรรยา โชคดีที่จินเฟิ่งของเขาเก่งกว่าผู้ชายในแก๊ง ผู้อาวุโสจึงไม่คิดที่จะเสนอชื่อจางกั่วชิ่งขึ้นมาชิงตำแหน่ง แต่ฝีมือใช่ว่าจะพัฒนาไม่ได้ และจากที่เห็นอะไร ๆ เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างในหลายปีนี้ เขาจึงต้องรีบชิงลงมือ
