ตอนที่10สตรีตรงหน้ากับที่เขาร่ำลือ2
ยามรุ่งสาง อากาศยังเย็นอยู่มาก
ซานซานจึงคร้านจะลืมตา เพียงเอื้อมฝ่ามือขึ้นควานหาไออุ่นของสามี ทว่ากลับไม่พบผู้ใด
หญิงสาวสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมองไปทั่วเตียง ก่อนลุกขึ้นนั่ง จัดระเบียบเสื้อผ้าจนเรียบร้อย แล้วเดินไปทางโต๊ะมุมห้อง เห็นกระดาษที่เขียนค้างเอาไว้เมื่อวาน ก็คิดว่าควรเขียนทุกกระบวนท่าต่อให้เสร็จสิ้น จากนั้นก็ฝึกฝนวันละหกชั่วยาม...
ระหว่างที่คิด ยังมองไปทางเตียงที่แสนจะเย็นเยียบ กวาดสายตามองไปทั่วห้องที่โล่งโปร่ง ซึ่งมีลมเย็นแทรกซึมไปทั่ว ในใจฉุกคิดได้อีกหนึ่งประการ
หากจะฝึกวิชาให้สำเร็จเร็วๆ ลมปราณนับเป็นสิ่งสำคัญ
นางอยากได้เตียงอรหันต์กับแผ่นไม้กั้นลมมาช่วยฝึกฝน เช่นนั้นควรหาเงินให้มากสักหน่อย อืม...หาจากไหนดี
ซานซานเดินไปคิดไป กระทั่งออกมานอกเรือน เจอถังไม้ที่มีน้ำอยู่เต็ม จึงใช้กระบวยตักน้ำขึ้นมา ใส่อ่างเล็กด้านข้าง ประคองไปอีกฝั่ง เจอผ้าผืนน้อยพับอยู่บนชั้นไม้
หญิงสาวใช้ผ้าชุบน้ำแล้วบิดพอหมาด นำมาซับบนใบหน้า สายตาพลันเหลือบไปเห็นสามีกำลังนำน้ำในถังไม้เดียวกันไปต้มยังห้องครัวอีกด้าน
ซานซานกลอกตาตลบหนึ่ง คิดวิธีหาเงินได้ทันที
หญิงสาวรีบกลับเรือนอย่างเร็ว แล้วเขียนกระบวนท่ายืดหดเส้นเอ็นจนเสร็จ นำไปยื่นให้ชายหนุ่มในครัวพลางเอ่ยว่า “เหย่หนิว ท่านฝึกตามนี้นะ รับรองว่าร่างกายจะกลับมาหายดี พละกำลังแข็งแกร่งดุจเดิม แล้วเราค่อยมาเริ่มฝึกวิชาอื่นๆกัน”
ระหว่างที่พูดยังหมุนตัวหยิบตะกร้าไผ่สาน สั่งการเพิ่มว่า
“ท่านควรแบกน้ำตุนไว้ให้มากหน่อย หลายวันนี้งดอาบน้ำ ใช้แค่กินกับล้างหน้าพอ”
จบคำก็เดินจากไป ไม่เหลียวหลังกลับมา
จ้าวเหว่ยเพียงมองตามนิ่งๆ ไม่คิดถามไถ่อันใดทั้งสิ้น ในใจเพียงพร่ำบ่นอย่างเอือมระอาว่า
หากนางหยุดวุ่นวายในยามกลางวัน เลิกหลับเป็นตายในยามกลางคืน จักดีสักเพียงใด?
ซานซานมีเคล็ดวิชาอยู่เต็มสมอง ต้องลองเลือกสักอย่างออกมาฝึกปรือเพื่อหาเงิน
ฝ่ามือมรณะ ไอมารสะกดวิญญาณ ปราณเทพสังหาร นารีพิฆาต ล้วนต้องใช้เวลาบ่มเพาะร่างกายให้แข็งแรงกว่านี้ก่อน ทั้งยังต้องฝึกออกกระบวนท่า ฝึกพลังลมปราณ ยาวนานมิใช่น้อย
หญิงสาวจึงคิดถึงวิชาหมื่นพิษก่อน ตัดสินใจเดินขึ้นเขาเพื่อเฟ้นหาสมุนไพรมาทำยาพิษ
ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนแล้วแต่มีสองด้าน มีทั้งคุณและโทษ ทั้งประโยชน์และเภทภัย สมุนไพรแต่ละชนิดก็เช่นกัน หากนำมาสกัดแล้วปรุงอย่างชั่วช้า ย่อมให้ผลที่ต่ำทรามไม่ยากเย็น
เมื่อซานซานได้สมุนไพรบางอย่างมาไว้ในกำมือจนพอใจ ก็รีบลงเขานำยามาเคี่ยวจนข้น รอมันเย็นตัวแล้วผสมแป้งลงไป ขึ้นรูปเป็นเม็ดกลมเกลี้ยงรอไว้
ยามรุ่งเช้าอีกวันก็นำออกไปตากกลางแดดแรง เมื่อแห้งได้ที่ก็นำมาทุบจนแหลกเหลวกลายเป็นผุยผง
จากนั้นก็นำไปโรยลงต้นน้ำที่ไหลสู่ที่ต่ำไปยังทิศทางของหมู่บ้านผิงเหยียน
สายลมหอบหนึ่งพัดกิ่งไม้ไหว ดอกหญ้าทิ้งตัวโปรยปรายลงต่ำ ร่วงหล่นโรยราไปกับผิวน้ำที่รินไหล ริมตลิ่งต้นสายธารายามสายัณห์ พลันมีสตรีร่างระหงอ้อนแอ้นท่าทางไร้พิษสงผู้หนึ่ง กำลังยืนแสยะยิ้มเยือกเย็น...
ยามสายของวันต่อมา
เริ่มมีชาวบ้านเจ็บป่วยเฉียบพลัน อีกหนึ่งวันต่อมาพบว่าหลายคนเริ่มมีอาการเดียวกันจนน่าตกใจ
สามวันให้หลังชาวบ้านเหล่านั้นก็พากันไปหาหมอประจำหมู่บ้านอย่างคับคั่งหนาตา ท่านหมอสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดโรคระบาดชนิดเฉียบพลัน ทว่าไม่อาจระบุได้ว่าเป็นโรคใด เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ล่วงเข้าวันที่สี่ ไม่ว่าท่านหมอจะจัดยาเทียบใดให้คนป่วย ก็ล้วนไร้ผล พวกเขาไม่ดีขึ้นเลย
เป็นเช่นนั้นกระทั่งล่วงเข้าวันที่เจ็ด พลันปรากฏว่ามีสตรีผู้หนึ่งปรากฏกาย นางสวมชุดสีขาวราวเทพเซียน สวมหมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งคลุมทั้งศีรษะ ใบหน้าคาดผ้าขาวปกปิดเอาไว้มิดชิด เผยเพียงดวงตาดำสนิทที่แสนจะเย็นชา มองไม่ออกว่างดงามปานใด ท่วงท่ายามก้าวเดินพลิ้วไหวราวกับเทพธิดาจำแลง
นางเดินทางมาจากทิศใดมิอาจทราบ ทว่ากลับเสนอตัวว่าสามารถรักษาโรคประหลาดนี้ได้
แรกเริ่มชาวบ้านผิงเหยียนไม่มีใครเชื่อ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ จึงมีผู้หนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากว่าหากไม่หายก็ขอตายดีกว่า ถ้ารักษาได้ เขาพร้อมมอบเงินให้อย่างงาม
คนผู้นั้นเสนอตัวออกมารับเม็ดยาจากสตรีปริศนา กลืนกินเข้าไปเพียงเม็ดเดียว แค่ครึ่งก้านธูปก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง ริ้วรอยผดผื่นตามเนื้อหนังที่คันคะเยอถูกเกาจนเกือบเน่าก็หายดี
พริบตาเดียวพวกชาวบ้านพลันฮือฮา พากันมารวมตัวที่ลานกว้างกลางหมู่บ้านผิงเหยียน เข้าแถวซื้อยาจากสตรีปริศนากันอย่างล้นหลาม
ภายใต้หมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งชั้นหนึ่งครอบศีรษะและมีผ้าขาวปิดกั้น ใบหน้าในนั้นกำลังเผยรอยยิ้มเยียบเย็นผุดขึ้นตรงมุมปาก ดวงตาของนางดำขลับนิ่งสงบสุดจะหยั่ง นางคือเทพธิดาชุดขาวที่ขายยาจากสวรรค์ ไม่ช้านางก็หอบเงินเป็นกอบเป็นกำเดินทางจากไปอย่างเงียบงัน
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครได้เห็นใบหน้าของหมอหญิงเทวดาเลยสักคน ยามนางจากไปเบื้องหลังยังมีบรรดาชาวบ้านที่หายป่วยพากันส่งเสียงฮือฮาสรรเสริญอย่างยินดี
ที่เป็นเช่นนี้ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของซานซาน
นางเลือกทำพิษชนิดอ่อนไปวางยาชาวบ้าน ด้วยวิธีปล่อยลงต้นสายของแม่น้ำที่ทุกครัวเรือนผิงเหยียนใช้ดื่มกิน
จากนั้นก็ปรุงยาแก้พิษรอเอาไว้ ทิ้งระยะเวลาให้คนป่วยเพิ่มจำนวนมากหน่อย ก่อนจะปลอมตัวเป็นหมอเทวดา ไม่เปิดเผยโฉมหน้า แล้วนำยาแก้พิษไปขายให้พวกเขา เมื่อได้เงินจนพอใจก็จากลาไร้ร่องรอย
เหตุที่ซานซานต้องปิดบังใบหน้าปลอมตัวก็เพราะชิงหลินเป็นสตรีนางน้อยในห้องหอ ทั้งยังโง่เขลาเบาปัญญา เป็นบุคคลที่ชาวบ้านรู้จักมาเนิ่นนาน
การเสนอตัวช่วยเหลือด้วยใบหน้าแท้จริงย่อมมิอาจทำได้
นางจึงจำเป็นต้องอำพรางรูปโฉมขณะขายยา เพื่อความน่าเชื่อถือและป้องกันปัญหาที่อาจจะตามมาภายหลัง
ยามราตรีอันมืดมิด มีเพียงแสงตะเกียงลอดผ่านทางช่องลมของเรือนไม้ไผ่
จ้าวเหว่ยยืนกอดอกมองซานซานที่กำลังนั่งนับก้อนเงินอยู่ตรงโต๊ะมุมห้อง เห็นสายตานางทอประกายแวววาวราวดวงดาราพร่างพราวบนฟากฟ้า จึงเอ่ยเสียงเย็น
“เจ้าหาเงินได้มากมายภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน เกรงว่าคงคิดทำลายบ้านเดิมของข้าแล้วสร้างคฤหาสน์ในไม่ช้านี้กระมัง”
น้ำเสียงนั้นฟังออกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
หญิงสาวจึงชะงักเล็กน้อย ช้อนตามองผู้พูดแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ด้านนอกของตัวบ้านเราคงสภาพทรุดโทรมไว้เช่นเดิมก็แล้วกันนะ จะได้ไม่มีโจรผู้ร้ายมาปล้นชิง ส่วนด้านในก็ค่อยๆ เพิ่มเครื่องเรือนล้ำค่า”
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”
ชายหนุ่มถามเสียงขรึม รู้สึกไม่พอใจอยู่มาก หากภรรยาอยากได้สิ่งใด ไยไม่บอกเขาที่เป็นสามี
สำหรับจ้าวเหว่ย เรื่องเงินมิใช่ปัญหา วิธีการชั่วช้าก็มิใช่ประเด็น เขาเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของซานซานเท่านั้นไยนางต้องเสี่ยงทำเรื่องอันตรายเช่นนี้
ชายหนุ่มนึกเคืองเรื่องนี้ไม่เบา
แต่ซานซานกลับเข้าใจผิดคิดไปว่าสามีกำลังโกรธตนเรื่องที่วางยาพิษคนทั้งหมู่บ้านแล้วหลอกขายยาจึงรีบกลบเกลื่อนความผิดโดยการหาวคราหนึ่ง ทำตาปรือพึมพำว่า
“ข้าง่วงแล้ว..ขอนอนก่อนนะ”
กล่าวจบก็รีบเก็บเงินใส่หีบแล้วปีนขึ้นเตียงทันที
ชายหนุ่มพลันชะงักก่อนถามเสียงเครียดอย่างไม่ยินยอม
“เราสองไยมิใช่ควรคุยกันก่อน”
“ไม่ไหวแล้ว ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”
สิ้นเสียงอ่อนแรง ฝ่ายภรรยาก็หลับเป็นตาย นับเป็นการกระทำที่ปล่อยให้ชายผู้เป็นสามีต้องทนเดียวดายจนพ้นราตรี...
อีกแล้ว...
จ้าวเหว่ยหรี่ตามองซานซานเงียบงัน กดเก็บอารมณ์โดยธรรมชาติของบุรุษเอาไว้ ก่อนถอนหายใจเช่นคนปลงตก
หลายวันมานี้เขาเองก็ฝึกวิชายืดหดเส้นเอ็นอย่างหนัก นับว่าใช้เรี่ยวแรงไปไม่น้อย ควรพักผ่อนให้มากเช่นกัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงขึ้นเตียงแล้วล้มตัวลงนอน เอื้อมมือสะกิดคนด้านข้าง เอ่ยสั่งเสียงต่ำ
“นอนดีๆ”
คำนี้ทำเอาสตรีที่นอนชิดกำแพงรีบพลิกตัวกลับมาหนุนท่อนแขนกำยำแล้วซุกซบอกอุ่นทันที
รอยยิ้มบางพลันปรากฏตรงมุมปากบุรุษ
มือหนึ่งของจ้าวเหว่ยโอบไหล่กลมมนของซานซาน อีกมือหนึ่งกระชับผ้าห่มปรกเนินอกให้อย่างเบามือ ก่อนยกขึ้นไปรองท้ายทอยของตนเอง
หมอนหนุนบุรุษอาจไม่ดีเท่าของสตรี แต่กระนั้นยังคงหลับได้สบายจนพ้นราตรีอย่างน่าแปลกใจในทุกค่ำคืน
จ้าวเหว่ยถอนหายใจหนักอก ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ก่อนเข้าสู่นิทราในใจยังตรึกตรองโดยละเอียดว่า
สตรีนางนี้ไม่ควรปล่อยให้ไกลตาเลยจริงๆ
