บท
ตั้งค่า

บทที่ 9

“ไง ลูกชาย”

คุณบุญรัตน์คนก่อตั้งไร่ผลไม้แห่งนี้ เดินยิ้มกริ่มออกมาจากอีกด้านหนึ่งของโกดัง หลังจากแอบได้ยินคนงานพูดกันว่า

ลูกชายเขาดุเสียยิ่งกว่าเสือจึงอยากจะมาพิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเองสักหน่อย

แล้วก็เป็นดังที่ได้ยินมาจริง ๆ เมื่อเห็นว่าอรัญลูกชายของเขานั้นกำลังยืนหน้านิ่งมองคนงานยกผลไม้ขึ้นรถอยู่ จนพวกคนงานที่ชอบแอบอู้ลุกขึ้นมาทำงานกันเสียพร้อมหน้า

“เคร่งเกินไปหรือเปล่าเรา”

“หึ ผมยังไม่คยดุใครเลยนะครับพ่อ”

“ไม่เคยดุใครก็จริง แต่ลดความหน้าเข้มลงหน่อยก็ได้เดี๋ยวคนงานจะเป็นลมกันหมดเพราะไม่กล้าหายใจ ฮ่า ๆ ”

คนเป็นพ่อตบบ่าลูกชายเบา ๆ พลางหัวเราะ

“ขอเวลาอีกเดือนครับต้องจัดระบบอีกสักหน่อย”

“ตามสบายเลย แค่อย่าให้มีคนงานขอลาออกเพราะกลัวแกก็แล้วกัน”

อรัญยกยิ้มมุมปาก พ่อของเขาเป็นคนเปิดกว้างกับเขามากอีกทั้งยังมองการณ์ไกล เมื่อตอนเขายังเด็กพ่อไม่เคยพูดสักครั้งว่าจะให้เขามารับช่วงบริหารไร่บุญรัตน์ต่อ แต่เป็นเพราะวิธีการสอนของพ่อที่ทุก ๆ วันหยุดจะพาเขาไปด้วยทุกที่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อรัญซึมซับการทำงานในไร่ไปด้วยปริยาย

เรื่องคนงานกลัวเขาก็คงเพราะเขาไม่ใช่คนช่างพูดอะไร จะพูดก็แต่กับพ่อแม่และนายแดงเท่านั้นที่ ประกอบกับเขาเป็นคนผิวเข้ม หน้าคม นัยน์ตาดุด้วยแล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนงานจะพาลกลัวเขากันไปหมด

แต่เดิมพ่อแม่ของอรัญเป็นคนภาคใต้และมาทำงานออฟฟิศกันอยู่ในเมืองกรุง บังเอิญมีโอกาสได้มาเที่ยวที่ภาคเหนือจึงถูกใจอากาศหนาวและอยากใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมาตลอด

จากนั้นจึงช่วยกันกัดฟันกู้เงินมาซื้อสวนผลไม้ที่เจ้าของกำลังร้อนเงิน และค่อย ๆ สร้างมันขึ้นมา ขยับขยายจนกลายมาเป็นไร่บุญรัตน์ที่มีเนื้อที่เกือบร้อยไร่ในทุกวันนี้นั่นเอง

อีกทั้งท่านทั้งสองยังใช้ชีวิตแบบมัธยัสถ์เรียบง่าย อาศัยอยู่ที่ไร่แห่งนี้มาตั้งแต่ยังไม่มีไฟฟ้า จนปัจจุบันไฟฟ้าเข้าถึง

ราคาที่ดินในสมัยนั้นจึงถูกกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว ทำให้อรัญได้ซึมซับเอาความเรียบง่ายนี้มาในตัวเองเต็ม ๆ

ดารินก้าวเท้าลงจากรถทัวร์ที่นั่งมาถึงเชียงใหม่ในเวลาเช้ามืด มวลอากาศเย็นลอยมาปะทะหน้า ช่วยให้คนที่เมื่อคืนนอนหลับบนรถไม่ค่อยสนิทรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก

หญิงสาวเดินไปรับกระเป๋าเป้ไปย่อมของตัวเองจากพนักงานบริการประจำรถที่นั่งมา ก่อนจะเดินตรงไปที่ม้านั่งยาวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแชทหาเพื่อนสนิท

“ถึงแล้วจ้า เดี๋ยวไปหาอะไรรองท้องที่ตลาดรอ แกไม่ต้องรีบนะ” – ดาริน

“น่าจะอีกประมาณยี่สิบนาที” – ลิลลี่

เหลือบมองดูนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาพึ่งจะตีห้านิด ๆ และท้องฟ้ายังไม่สว่างมากนัก แต่ดารินก็คิดว่าที่ตลาดเช้าคงจะมีอะไรขายบ้างอยู่แล้วเพราะคนดูจะพลุกพล่านไม่น้อย ตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไปจากสถานีขนส่ง ถามทางจากชาวบ้านไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เร่งรีบ

บรรยากาศจ้อกแจ้กจอแจในตลาดเช้า ทำเอาดารินตาสว่างโร่ เธอมองดูของที่บรรดาแม่ค้าเอามาวางขายด้วยความตื่นตาตื่นใจ บางอย่างเธอยังไม่เคยเห็นของจริงมาก่อนด้วยซ้ำ

เมื่อเดินผ่านโซนขายของสดไปได้ คนตัวบางก็เห็นล้อเข็นขายโจ๊ก ข้าวต้ม และอาหารปรุงสุกเรียงรายอยู่ตรงหน้า กลิ่นอาหารหอม ๆ เย้ายวนใจเรียกน้ำย่อยของคนที่ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นได้เป็นอย่างดี ก่อนที่คนแบกเป้ใบย่อมตัดสินใจเดินเข้ารถเข็นขายโจ๊กซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด

“เอาโจ๊กหมูไม่ใส่ไข่หนึ่งที่ค่ะ”

“ใส่ขิงใส่ผักก่อลูก”

แม่ค้าขายถามดารินกลับมาเป็นภาษาเหนือ ซึ่งดารินเองก็เคยได้ยินมาบ้างจึงฟังออกแล้วตอบกลับไป นึกในใจว่าทำไมภาษาเหนือถึงได้ฟังรื่นหูขนาดนี้

“ใส่ค่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel