9 สหายเก่า
ในตอนที่หยางหลีเหว่ยตกลงแต่งงานกับหลี่หยวนหยวน เขามิได้ใส่ใจจะมาอธิบายกับเซียวหว่านเพราะระหว่างนางกับเขายังไม่มีการพูดจาอย่างจริงจังของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ตัวเขากับนางแม้จะเห็นกันแต่เยาว์วัย ทว่ามิได้สนิทสนมกันนัก
ในตอนที่มารดาบอกหยางหลีเหว่ยว่าต้องการให้เขาหมั้นหมายกับเซียวหว่าน เขาคิดจะลองทำความรู้จักกับนางดูก่อนจึงพยายามไปตามงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อจะได้คุยกับนาง แต่ทุกครั้งเข้าร่วมงาน กลับเจอหลี่หยวนหยวนมาคอยขัดขวาง ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองจึงไม่คืบหน้า สุดท้ายเมื่อมารดาต้องการยาโดยเร่งด่วน เขาจึงตอบตกลงแต่งงานตามเงื่อนไขของท่านป๋อหลี่โดยไม่ลังเล
สิบวันต่อมา เขาก็กลายเป็นสามีของหลี่หยวนหยวน ไม่นานก็ได้ข่าวว่าเซียวหว่านรับหมั้นผู้อื่นไปแล้ว ที่เขารับนัดนางในครั้งนี้ก็เพราะต้องการมาขอโทษนางต่อหน้าที่ทำให้นางต้องรอเขาเก้อ กลายเป็นตัวตลกในสายตาของกลุ่มคนที่ซุบซิบนินทาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนาง
เมื่อได้พบกันซึ่งหน้าและขอโทษเซียวหว่านด้วยท่าทีจริงใจแล้ว หยางหลีเหว่ยก็รู้สึกสบายใจขึ้น “ข้าหวังว่าคุณหนูสามจะมีชีวิตที่มีความสุข”
นางยิ้มเศร้า “ข้าเองก็หวังเช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่หากวันหน้าชีวิตของข้าไม่ราบรื่นอย่างที่คิด หวังว่าข้าจะยังมีท่านอ๋องจะเมตตาช่วยเหลือนะเจ้าคะ”
“ข้าติดค้างน้ำใจเจ้าครานี้ ข้าย่อมต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
ซ่งสวินมองตามรถม้าคันใหญ่ของจวนสกุลเซียวที่พาคุณหนูคนงามทั้งสองจากไปแล้วหันมามองหน้าสหาย “เจ้ามิได้บอกนางเรื่องคุณชายซางหรือ”
หยางหลีเหว่ยส่ายหน้า “นางมิได้เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว เหตุใดข้าจะต้องไปทำให้นางต้องถอนหมั้นด้วย”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะห่วงนางจนกระโจนเข้าไปปกป้องเสียอีก ซางฮ่าวอวี่ผู้นั้น ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังแล้วว่าเป็นบุรุษใช้การไม่ได้”
ซ่งสวินเป็นหัวหน้ามือปราบที่ต้องคอยสอดส่องความปลอดภัยของชาวบ้านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาทำคดีมากมาย ที่เขารู้เรื่องของซางฮ่าวอวี่เป็นเพราะมือปราบในหน่วยบังเอิญไปเห็นคนผู้นี้เข้า ในตอนที่เขาไปหาหญิงสาวที่เลี้ยงเอาไว้ในตรอกแห่งหนึ่งละแวกที่ซ่งสวินดูแล
ซางฮ่าวอวี่เป็นสหายผู้หนึ่งที่เคยร่วมศึกษาเล่าเรียนกับซ่งสวินและหยางหลีเหว่ยในสำนักศึกษาจินอวี้ หยางซื่อจื่อในวัยสิบขวบเคยทำให้ซางฮ่าวอวี่อับอายขายหน้าผู้คนทั้งสำนักศึกษามาแล้ว
“เหล่าซ่ง ข้ากับนางรู้จักกันก็จริง แต่มิตรภาพนี้เป็นไปอย่างผิวเผิน บิดาของข้าก็จากไปนานแล้ว ท่านแม่กับสกุลเซียวก็มิได้ไปมาหาสู่ ก่อนหน้านี้ข้าสะบั้นวาสนาระหว่างนางกับข้าแล้วก็สมควรไปทำเรื่องที่ตนเองสมควรทำ ข้าไม่อยากเป็นต้นเหตุให้นางต้องตัดวาสนากับผู้อื่น”
ซ่งสวินฟังแล้วก็พยักหน้ารับ “จริงของเจ้า ถ้านางถอนหมั้นเพราะเจ้าในคราวนี้ เจ้าก็ไม่อาจจะรับนางเอาไว้ได้ ท่านโหวเฉิงไม่ยอมให้นางเป็นชายารองของเจ้าแน่”
หยางหลีเหว่ยนิ่วหน้า “ในจวนข้ามีหลี่หยวนหยวนคนเดียวก็วุ่นวายพออยู่แล้ว เอาไว้กำจัดนางออกไปได้ก่อน ค่อยคิดเรื่องสตรีคนใหม่เถิด”
พลันซ่งสวินก็นึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได้ “เอ๊ะ! อ๋องหยาง มิใช่ว่าที่ซางฮ่าวอวี่มาขอหมั้นคุณหนูสามเซียวเพราะคิดจะเอาชนะหรอกนะ”
“เขาจะผูกใจเจ็บนานขนาดนั้นเชียว”
“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่า แก้แค้นสิบปียังไม่สาย ก่อนเจ้ามาเรียนในสำนักจินอวี้เขาเป็นพี่ใหญ่ของทุกคน แต่พอมีเจ้า เจ้ากับเขาขัดแย้งกัน สุดท้ายเจ้าก็ทำให้เขาหมดสิ้นความสำคัญในสายตาของทุกคน”
พูดถึงเรื่องนี้ หยางหลีเหว่ยก็หัวเราะ “จริงด้วย ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย เป็นเพราะข้ากลับไปเฉินม่ายนานแล้ว หาได้ใส่ใจเรื่องของเขาไม่”
หยางหลีเหว่ยจำได้ว่าตอนที่เขามาถึงเมืองหลวงช่วงนั้น คุณชายในเมืองหลวงพากันดูถูกเขา ผู้นำกลุ่มที่คอยพูดจาแซะเขาอยู่บ่อยๆ ก็คือ ซาง ฮ่าวอวี่ ทว่าหลังจากที่เขาท้าแข่ง ขี่ม้า ยิงธนู และเล่นหมาก แล้วชนะซางฮ่าวอวี่ได้ทั้งหมด สหายร่วมชั้นในสำนักศึกษาจึงพากันยกย่องเรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่’ แทนซางฮ่าวอวี่
“เจ้ามาเรียนแค่ปีเดียวก็กลับเฉินม่าย แต่เขากับข้ายังเรียนอยู่จินอวี้จนจบการศึกษา ช่วงหลังๆ พอโตขึ้น ซางฮ่าวอวี่ผู้นี้จากเคยใส่ใจร่ำเรียนก็เปลี่ยนไป เขาคบหากับพวกคุณชายเสเพลและเริ่มทำตัวเหมือนคนพวกนั้น”
“เขาก็ได้เป็นขุนนางอยู่นี่”
“เจ้าไม่รู้อันใด ซางฮ่าวอวี่สอบขุนนางถึงสามครั้ง และครั้งที่สี่จึงสอบผ่านด้วยอันดับรั้งท้าย เฮ้อ! น่าสงสารคุณหนูสามเซียวเสียจริงที่ต้องมาแต่งให้กับคนเช่นนี้”
หยางหลีเหว่ยได้ยินคำพูดเห็นอกเห็นใจเซียวหว่านจากปากสหายก็หยุดเดิน หันไปจ้องหน้า “เหล่าซ่ง เรื่องของซางฮ่าวอวี่ให้เจ้าบอกนางดีหรือไม่”
ซ่งสวินได้ยินก็รีบยกมือขึ้นโบกไปมา “ไม่ๆ ข้าไม่อยากยุ่ง”
หยางหลีเหว่ยหรี่ตา “ข้านึกว่าเจ้าจะชอบเซียวหว่านเสียอีก เห็นพูดเรื่องซางฮ่าวอวี่เสียยืดยาว ห่วงนางขนาดนั้น หากเจ้าบอกเรื่องเขากับนาง พอนางถอนหมั้นก็จะได้ถือโอกาสดูแลนางต่อเสียเลย”
“อ๋องหยาง! เจ้านี่มันช่างปากไม่มีหูรูดเลยจริงๆ ข้าหรือจะชอบสตรีของสหาย นางเคยเป็นคนที่เจ้าพึงใจ ข้าย่อมไม่ข้องเกี่ยว พอแล้วๆ พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องนางหรอก นางหมั้นกับคนอื่นแล้ว เราจะสอดมือไปทำไม ว่าแต่เจ้าเถอะ เห็นว่าจะกลับเฉินม่าย คิดจะเดินทางวันใดหรือ”
“รอท่านแม่ข้าได้รับยาจากท่านป๋อหลี่ครบห้าวัน ร่างกายแข็งแรงพอจะเดินทางได้ ข้าจะออกเดินทางทันที” หยางหลีเหว่ยนึกถึงหลี่หยวนหยวนแล้วยกยิ้มมุมปาก “รีบกลับเฉินม่าย ข้าจะได้สะสางเรื่องของข้ากับหญิงแซ่หลี่ให้หมดจดเสียที”
“เจ้าคิดจะหย่ากับนางหรือ”
“หย่าแน่นอน สตรีไร้ยางอายผู้นั้น ข้าไม่เคยคิดจะเหลือบแลเสียด้วยซ้ำ หากว่าไม่ใช่เพราะถูกสถานการณ์บังคับ มีหรือที่นางจะได้ก้าวเข้าจวนข้าแม้สักครึ่งก้าว”
ซ่งสวินนึกถึงโฉมงามที่คอยตามเมียงมองดูหยางหลีเหว่ยก็ทั้งขำทั้งสงสาร หลี่หยวนหยวนผู้นี้รูปร่างหน้าตานับว่าเป็นหญิงงามอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง เพียงแต่สติปัญญาและมารยาทของนางต่ำกว่ามาตรฐานไปมาก บุรุษในตระกูลใหญ่ทั่วเมืองหลวงได้ยินชื่อต่างพากันส่ายหน้า
นางอายุสิบเจ็ดแล้ว แต่ยังไม่อาจหาคู่หมายได้ หากบอกชื่อนางกับแม่สื่อ สตรีพวกนั้นถึงกับถอนหายใจแล้วก้มหน้า....“หลี่หยวนหยวน” ชื่อนี้ ไม่ว่าผู้ใดได้ยินล้วนต้องถอย ซ่งสวินไม่กล้าบอกสหายให้เสียใจว่าผู้คนบนท้องถนนพูดถึงชายาของเขาอย่างน่าตกใจเพียงใด
คนพวกนั้นบอกกับซ่งสวินว่า ‘หากพบคนถ่อย นักเลงหัวไม้ อันธพาล และคุณหนูรองหลี่ ให้หลีกหนีนางก่อนเป็นคนแรก’
“อันที่จริง นางปักใจหลงใหลเจ้าจนน่าสงสาร”
หยางหลีเหว่ยได้ยินสหายเอ่ยก็เลิกคิ้ว “เช่นนั้น หลังจากข้าหย่านางแล้ว เจ้ายินดีจะแต่งงานกับนางต่อจากข้าหรือไม่”
“อ๋องหยาง!” ซ่งสวินตกใจเข้าจริงๆ “เจ้าอย่าล้อข้าเล่น เกิดข้าตกใจตาย เจ้าจะรับผิดชอบกับครอบครัวข้าไหวหรือ”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าเลิกพูดจาเห็นใจนางได้แล้ว คนที่ควรเห็นใจที่สุดก็คือข้าต่างหาก ชีวิตข้าปั่นป่วนก็เพราะหลี่หยวนหยวน” พูดถึงชื่อนี้ หยางหลีเหว่ยก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นาง...นางเป็นดาวหายนะในชีวิตข้า”
ซ่งสวินรีบยกมือ “ได้ๆ พวกเราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ”
หัวหน้ามือปราบหน่วยที่สิบยิ้มแหยๆ มองดูรูปร่างหน้าตาของสหายแล้วก็นึกเสียดาย หยางหลีเหว่ยรูปงาม เปี่ยมความสามารถ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ของดีๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงตกไปอยู่ในมือของสตรีไร้สาระที่สุดในเมืองหลวงอย่าง หลี่หยวนหยวนเสียได้...ช่างเสียของจริงๆ
วันนี้ครบห้าวันตามที่หยางหลีเหว่ยตกลงกับหลี่เหวินจั๋ว ยาสูตรลับจากสกุลหลี่ถูกส่งมาให้หยางไท่เฟยได้ดื่มตั้งแต่เช้า แค่เพียงดื่มยาถ้วยสุดท้ายลงไป สตรีวัยกลางคนที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกแทบจะยืนไม่ไหวก็กลับกระฉับกระเฉงเดินสะบัดแขนไปมาอย่างร่าเริง
“หยุนมามา เจ้าดูสิ แขนขาของข้ามีแรงเหมือนเดิมแล้ว”
สาวใช้ที่ยืนรายรอบพากันยิ้มหน้าชื่นตาบาน หยุนมามารีบหันไปบอกให้สาวใช้นางหนึ่งไปเชิญท่านอ๋องมา
**********************
