5
ณิชาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพระอาทิตย์ก็เคลื่อนตัวไปอยู่ตรงศรีษะแล้ว สองวันติดๆกันที่เธอตื่นเสียสายโด่ง ผิดจากที่เคยอย่างน่าอาย หญิงสาวพลิกตัวนอนหงายก็พบว่าเสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมดเกลี้ยง ดีที่มีผ้าห่มคลุมปิดอยู่ตลอดเรือนร่างของเธอ เขาไม่เคยผิดคำพูดของตัวเองเลยสักครั้ง
หากบอกว่าเช้าก็คือเช้าอย่างที่เขาบอก
หญิงสาวหน้าแดงซ่านเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาคงทิ้งซากพวกเครื่องป้องกันเอาไว้เกลื่อนพื้นดังเดิม จึงรีบลุกขึ้นเก็บของเหล่านั้นไปทิ้ง แต่ที่พื้นกลับว่างเปล่า ปราศจากเศษชิ้นส่วนของเขาแม้แต่เพียงชิ้นเดียว ที่มีก็เพียงแต่เสื้อผ้าของเธอที่ตกอยู่รอบๆเตียงนอนนั่น
เขาคงเก็บมันไปทิ้งเองแล้ว
ณิชาคิดหาคำตอบ ก่อนพาตัวเองเข้าไปชำระล้างตัวอาบน้ำล้างหน้าเปลี่ยนชุดเพื่อออกไปยังด้านนอก
“อะไรกันแม่คุณ นอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้เชียว”
เสียงทักนั่นมาจากคุณอารยา มารดาของธีร์ ณิชายิ้มรับบางๆยกมือทำความเคารพหญิงสูงวัยพร้อมกล่าวทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณ...อารยา”
ไม่ลืมว่าต้องทักทายหญิงสูงวัยตรงหน้าที่ยังสวยสง่าอยู่มากด้วยชื่อจริงของท่านเท่านั้น แม้จะแต่งงานกับบุตรชายของอีกฝ่าย แต่รู้กันเป็นการภายในว่าเพราะเหตุใด
และคุณอารยาไม่ชอบใจนักหากเธอเรียกท่านว่า ‘คุณแม่’ ท่านไม่เต็มใจจะมีเธอเป็นลูกอีกคนนั่นเอง
“บ้านช่องนี่เช็ดถูกันบ้างไหม ทำไมรกสกปรกแบบนี้”
ณิชาก้มหน้าไม่ได้ตอบว่าอะไร เพราะงานเลี้ยงเมื่อคืนที่คงเลิกเสียดึก เด็กคนรับใช้บางส่วนเข้านอนกันไปบ้างแล้ว แม้จะเก็บของกันในตอนเช้าแต่ยังไม่เรียบร้อยดี จึงเห็นความไม่เป็นระเบียบ เศษขยะกระจัดกระจายอยู่เป็นบางส่วนตรงพื้นที่ที่ยังไม่ได้เข้าไปจัดการ
คุณอารยาอยู่สำรวจบ้านพร้อมใช้สายตาจ้องจับผิดเธออีกเกือบชั่วโมงค่อยกลับไป ณิชาอยู่ช่วยเด็กๆเก็บของจนเรียบร้อยดี จึงขึ้นไปอาบน้ำใหม่อีกรอบแต่งตัวเรียบร้อยแล้วออกไปหาเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอในเวลาต่อมา
“ไงจ๊ะคุณนายณิช วันนี้แวะมาร้านเราได้”
เสียงทักทายของปารมี เพื่อนสนิทร้องทักมาจากเคาน์เตอร์ด้านใน ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงสั่งงานกับเด็กในร้านแล้วลิ่วๆออกมากอดรัดร่างบอบบางของณิชาเบาๆอย่างทุกทีที่เจอหน้ากัน
ณิชายิ้มแล้วแย้งคำของปารมีก่อนหน้า
“คุณนายอะไรเล่าปา”
“อ้าว เป็นถึงภรรยาคุณธีร์ ผู้บริหารระดับบิ๊กบึ้มไม่เรียกคุณนาย งั้นให้ปาเรียกว่าอะไรดีจ๊ะ”
ไม่ได้ตอบอะไรเพื่อน ปารมีพาไปนั่งที่โต๊ะวีไอพีด้านใน เรียบร้อยแล้วก็ว่า
“นี่ๆมีของมาฝากหนูณิชด้วยนะ”
ว่าแล้วเดินวุ่นวายกลับไปหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งมาส่งให้ ณิชารับมาเปิดดู พอเห็นของด้านในแล้วพลันหน้าแดงแปร้ดด้วยความอายเมื่อของฝากที่ปารมีว่านั้นเป็นชุดนอนวาบหวิวแบบที่เธอไม่มีทางใส่มันแน่
“เก็บไว้ใส่ให้คุณธีร์ละลายไปเลยไง”
ณิชาฝืนยิ้มก่อนหลบตาเพื่อน ปารมีเลยพลอยเงียบเสียงลง ถามอย่างเป็นห่วง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นหนูณิช”
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
“คุณธีร์ไม่ได้ตบตีหนูณิชใช่ไหม”
“บ้า เขาจะมาตีเราทำไม”
“อ้าว ก็ที่หนูณิชเคยบอกว่าต้องแต่งงานกับคุณธีร์ก็เพราะเขาสร้างเงื่อนไขขึ้นมา เพื่อให้ช่วยบริหารเครือศิวาไล แล้วไหนยังเรื่องเก่าอีกเรื่องที่ว่าพ่อเคยไปโกงหุ้นในส่วนของคุณพ่อของคุณธีร์ที่ลงทุนร่วมกันนั่นอีก”
ณิชาพยักหน้าตามในเมื่อที่อีกฝ่ายพูดมานั้นเป็นความจริงทุกคำ เคยเล่าให้ปารมีฟังเมื่อตอนที่เธอรู้ตัวแล้วว่าต้องแต่งงานกับธีร์โดยไม่มีหนทางปฏิเสธได้ ปารมีเอียงคอมองเพื่อนแล้วชมจากใจ
“หนูณิชน่ารักขนาดนี้ คุณธีร์ใจร้ายได้ลงคอหรือ ปาเห็นว่าเขาก็ดูรักหนูณิชดีนี่”
ใช่ดูเหมือนว่ารัก แต่ความจริงแล้วธีร์ไม่ได้รักเธอ
นอกจากจะเป็นผู้บริหารและนักลงทุนตัวฉกาจแล้ว เขายังเป็นนักแสดงที่ตีบทแตกกระจุยด้วย หากต้องปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะชนคู่กับเธอเขาจะทำให้ดูเหมือนว่ารักภรรยาอย่างเธออย่างสุดจิตสุดใจเพื่อสยบข่าวลือที่ว่าเป็นการแต่งงานจอมปลอมหวังผลให้หุ้นในกิจการราคาถีบตัวสูงขึ้น ณิชาถอนหายใจเฮือกบอกเสียงอ่อนล้า
“ณิชได้แต่รอว่าเมื่อไรจะถึงกำหนดที่เขาตั้งเอาไว้ไวไว”
ปารมีขมวดคิ้วมุ่น ร้องถามเสียงหลง “กำหนดหย่าน่ะหรือ”
ณิชาพยักหน้ายิ้มขมขื่น
“คุณธีร์ใจร้ายชะมัดเลย ถ้าหย่ากับหนูณิชจริงๆน่ะ แต่งงานกันแล้วนะไม่ใช่แค่แต่งแต่ในนามเสียหน่อย” ปารมีพอรู้เรื่องของณิชามาบ้างเรื่องเข้าหอ เคยเอ่ยปากแซ็วช่วงหลังแต่งงานใหม่ๆ สองสาวคบหากันมานานทำไมจะดูกันเองไม่ออก ในเมื่อเพื่อนปฏิเสธได้ไม่เต็มปากว่าไม่ได้เข้าหอกับธีร์ก็คงใช่แล้วว่าเป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องตามนิตินัยและพฤตินัย
“ถึงแต่งแต่ในนาม หนูณิชก็เสียหายอยู่ดี หย่าแล้วเป็นแม่ม่าย เป็นผู้หญิงมีตำหนิ หมดอนาคตกันน่ะสิ”
ณิชาส่ายหน้า บอกปัด “ช่างเถอะน่า”
แล้วก็เงียบกันไปครู่ใหญ่ จู่ๆก็มีเสียงเรียกชื่อของณิชาดังขึ้น
“หนูณิช”
เสียงทักจากคนมาใหม่ ณิชายังไม่ทันหันกลับไปมอง ปารมีก็โน้มหน้าเข้ามากระซิบ
“แต่เราว่ามีอยู่คนที่ยังรอหนูณิชอยู่ ถ้าหย่ากับคุณธีร์เมื่อไรพี่แกฮูเลแน่”
ณิชาหันไปมองถึงได้เห็นว่าเป็นดนัย ชายหนุ่มที่เคยขอคบเธอเป็นแฟน พอตกลงคบกันได้แค่เดือนเดียว ธีร์ก็เข้ามาป่วนให้ต้องเลิกรากันไป เพราะต้องแต่งงานและไปภรรยาของเขาตามเงื่อนไขที่ธีร์บอก จำได้ว่าพอดนัยรู้เรื่องเขาเสนอตัวเข้ามาช่วยบริหารงานในเครือศิวาไลแทน แต่คุณกำพลไม่นิยมในตัวของดนัยนัก แม้ดนัยจะร่ำรวยไม่แพ้กับธีร์แต่ภาษีของธีร์นั้นมีมากกว่าอีกฝ่ายเป็นไหนไหน
“พี่หนึ่ง”
ณิชาสูดลมหายใจเข้าให้ลึกสุดปอด เมื่อนึกไปถึงอีกเหตุผล ธีร์ไม่ได้เพียงแค่ต้องการตลบหลังครอบครัวของเธอเพียงเท่านั้น แต่เขากับดนัยยังเคยบาดหมางกันมาก่อน เรื่องนี้ดนัยบอกกับเธอในวันแต่งงาน
รู้แต่ว่านักบริหารและนักลงทุนอย่างธีร์ ลงแรงเพียงน้อยนิดแล้วนั่งรอผลกำไรตอบแทนที่เรียกได้ว่าคุ้มสุดคุ้มอย่างที่เขามักกระทำอยู่เสมอ
“หนูณิชมากับใครคะ”
สองสาวเงียบเสียงลงไม่มีใครตอบ ดนัยมองแล้วเป็นคนตอบคำถามของตัวเองเสียเลย
“คนเดียวหรือคะ”
สีหน้าของดนัยดูแปลกใจกับคำตอบของตัวเอง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ณิชาจะออกไปไหนมาไหนได้ตามลำพัง ทุกครั้งที่เจอกัน ดนัยพบว่าต้องมีธีร์ตามมาด้วยเสมอ
ณิชาตอบรับด้วยรอยยิ้มให้ดนัย “ค่ะ ณิชมาคนเดียว”
“อ้อ คุณธีร์ไปเชียงใหม่นี่นะ” ดนัยบอกเมื่อนึกขึ้นได้ เขารู้ตารางของศัตรูทุกย่างก้าว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะขยับทำอะไร ไปที่ไหนก็รู้เสียหมด ที่ต้องตามดูก็เพื่อจะได้รู้เรื่องของณิชาด้วย
หญิงสาวตอบรับออกมาคำเดียว “ค่ะ”
ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆหญิงสาวที่ยังคงตราตรึงในใจของเขา พูดเหมือนชวนคุย “เห็นว่าไปดูที่ตกลงซื้อขายกันเรียบร้อยแล้วด้วย นี่พ่อหนูณิชจะขายทุกอย่างให้คุณธีร์เลยหรือไง แม้แต่ที่นั่นก็ด้วย” ดนัยว่าไปแบบนั้น แล้วทำท่าทีสงสัยก่อนว่าต่อ “เอ...หรือคุณธีร์จงใจซื้อทุกอย่างที่เป็นตระกูลหนูณิชกันแน่”
ได้ยินอย่างนั้นแล้วณิชาเงียบไปในทันที บิดาของเธอขายที่ที่เชียงใหม่อย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงไม่มีใครบอกกล่าวเธอเลยสักคน พลันในใจของหญิงสาวที่เคยเป็นคนสงบนิ่งเหมือนน้ำเย็นๆในบึงใหญ่ บัดนี้เดือดปุดๆราวกับน้ำในหม้อต้มบนกองไฟ เมื่อรับรู้ในสิ่งที่ดนัยบอกออกมา ถามเสียงพยายามไม่ให้สั่นนัก
“หมายความว่ายังไงคะพี่หนึ่ง”
ดนัยมองดวงหน้าที่ขาวซีดด้วยสายตาสาสะใจปนสงสารอยู่เกินครึ่ง แล้วเปิดปากบอกออกไปด้วยท่าทีราวกับรู้สึกผิดเสียเต็มประดา นี่แสดงว่าณิชาไม่รู้เรื่องนี้เลยสินะ ไม่เสียแรงเลยจริงๆที่ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
