บทที่5 เรื่องราวในอดีต
เขายกนิ้วเรียวที่มีน้ำเหนียวเปียกปอนขึ้นมาให้ฉันดูเป็นหลักฐานก่อนจะลากลิ้นวนดูดน้ำที่นิ้วจนหมด
“เลย์อย่า...นายเป็นน้องพี่นะ”
ฉันพูดออกไปอย่างนั้นแม้ในใจจะอยากให้เขาทำมากกว่านี้ก็เถอะ แต่ตอนนี้เหมือนภาพมันจะตัดเสียให้ได้ หน้าของเลย์ค่อย ๆเบลอไปทีละนิดอย่างช้า ๆ ก่อนที่ฉันจะได้ยินคำพูดสุดท้ายที่เข้ามาในโสตประสาท
“แต่ผมไม่เคยเห็นพี่เป็นพี่ผมเลย”
คำพูดนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่นะและสติสัมปชัญญะของฉันก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ แน่นอนว่าฉันเมามากจนภาพตัดหลับไปกลางสมรภูมิรบทั้งอย่างนั้นจริง ๆ
เช้าวันต่อมา....
ฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวและพะอืดพะอม ฉันค่อย ๆจับหัวโคลงเคลงไปซ้ายทีขวาทีก่อนจะพบร่างชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าเปลือยล่อนจ้อนอยู่ แม้จะเห็นแค่ข้างหลังฉันก็รู้ว่าคน ๆนี้คือ....
“ละ..เลย์”
ฉันรีบยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน....หัวใจฉันเต้นโครมครามหายใจไม่ทั่วท้องก่อนจะพยายามสำรวจร่างตัวเองว่าเมื่อคืนฉันได้เสียตัวหรือเปล่า
แต่เมื่อฉันคลำไปตรงร่องสวาทก็พบว่ามันบวมและรู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อคืนผ่านการใช้งานที่หนักหน่วงมาจริง ๆไหนจะคราบน้ำสีขาวแห้ง ๆ ที่เปื้อนอยู่บนหน้าท้องและผ้าปูที่นอนนั่นอีก
“ให้ตายเถอะยายมีนเอ้ย..เมาแล้วปล่อยตัวอีกแล้ว”
ฉันก่นด่านิสัยที่เมาแล้วขี้อ่อยของตัวเองเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่รอบนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันก็นี่มันน้องชายฉันนี่นา
ฉันพยุงร่างกายที่อ่อนล้าเหมือนกับผ่านศึกหนักมาควานหาเสื้อผ้าใส่ให้ไวที่สุดก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วฉันก็นั่งลงที่ปลายเตียงทอดสายตามองไปยังร่างเปลือยที่นอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องอะไร
พอได้สติกลับมาฉันก็เริ่มโกรธตัวเองที่ไม่ยอมยับยั้งช่างใจและสับสนว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี ฉันจะมองหน้าเลย์ติดได้ยังไง แต่อยู่ ๆ ร่างนั้นก็ค่อย ๆขยับคอและหันมาทางฉันที่นั่งมองอยู่ราวกับรู้สึกตัวมาสักพักแล้ว
เขามองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ฉันอ่านไม่ออก สายตานั้นช่างดูว่างเปล่าไม่ได้ดูเศร้าและไม่ได้รู้สึกดีใจ
ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นนั่งและดึงผ้าห่มมาคลุมท่อนร่างตัวเองเอาไว้
“ผมขอโทษ”
นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาพูดออกมาพร้อมกับก้มหน้าลงมองฟูกเตียง แล้วฉันควรจะตอบว่าอะไรดี
‘ไม่เป็นไร...อย่างนั้นเหรอ’ มันไม่ได้มั้ยล่ะ
“ฟังพี่นะ เรื่องนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเราต่างคนต่างก็เมา...พี่ไม่โทษเรา แต่พวกเราคงต้องห่างกันให้มากกว่านี้”
ใช่พวกเราต้องห่างกันให้ไกลเพื่อจะไม่ให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่2 เพราะถ้าหากพ่อของเลย์และแม่ของฉันรู้เรื่องนี้เข้าพวกเขาจะเสียใจมากแค่ไหนกันล่ะ
“ห่างกัน”
เลย์ทวนคำพูดของฉันพร้อมขมวดคิ้ว
“ใช่...นายไปเรียนที่กรุงเทพฯซะ หรือจะไปอยู่กับแม่นายที่อเมริกาก็ได้”
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ฉันคิดได้ในตอนนี้ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องทนมองหน้ากันและเผื่อว่าเวลามันจะช่วยเยียวยาให้ฉันสามารถกลับมามองเลย์เป็นน้องชายคนเดิมได้อีกครั้ง
เลย์ไม่ได้ตอบอะไร แต่เขากลับมองฉันด้วยสายตาเย็นชาระคนเสียใจ...
และหลังจากวันนั้นฉันก็เก็บเสื้อผ้าออกไปเช่าห้องอยู่ใกล้ที่ทำงานและไม่ยอมกลับบ้านอีกเลยจนเลย์สอบติดที่มหา’ลัยที่กรุงเทพฯแล้วย้ายไปอยู่หอที่นั่น ฉันถึงได้ย้ายกลับมาอยู่บ้าน
ฉันจะไปนอนบ้านเพื่อนทุกครั้งที่รู้ว่าเลย์จะกลับมาเพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอกับเขาในทุกสถานการณ์และฉันก็ทำมันได้มาตลอด 4 ปีจนกระทั่งวันนี้.........
