บทที่5
อีกด้านหนึ่ง
ม่านไหมไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตเพราะตอนนี้ป้าของเธอล้มป่วยและหมอเพิ่งจะบอกให้รู้ว่าท่านอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานความจริงที่ได้รู้ทำให้หญิงสาวคิดไม่ออกแล้วว่าจะทำยังไง
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเลือกที่จะส่งยิ้มอีกฝ่ายเมื่อพบหน้ากัน มันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเต็มทนเสียจนอีกคนสังเกตุได้ หากแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ป้าเป็นยังไงบ้างจ๊ะ” หญิงสาวรวบรวมแรงใจเดินเข้ามาหาผู้เป็นป้ายังห้องพักผู้ป่วยรวม เธอพยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้ หากแต่เมื่อได้มาเห็นสภาพของอีกฝ่าย ก็ทำเอาเก็บความเศร้าเสียใจไม่ไหว
ตั้งแต่พ่อกับแม่ตายไปทั้งชีวิตเธอก็เหลือแค่ป้าคนเดียวเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง ชีวิตเธอคงไม่เป็นผู้เป็นคนได้อย่างทุกวันนี้ถ้าไม่มีท่านคอยให้ความรัก ซ้ำยังคอยสอนให้เธอคิดดีทำดี เพื่อที่ว่าสักวันสิ่งดีๆ จะตามมา แต่มาวันนี้เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะยังเชื่อแบบนั้นได้อยู่รึเปล่า เพราะที่ผ่านมาชีวิตเธอพบเจอแต่กับเรื่องแย่ๆ ไม่หยุด
“มาแล้วเหรอลูก” ห่วงเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตตอนนี้ เห็นจะหนีไม่พ้นหลานที่ตอนนี้ต้องมาเจอกับเรื่องยุ่งยาก ในขณะที่นางนั้นช่วยอะไรหลานไม่ได้เลยเพราะป่วย
“จ๊ะป้า ป้าอดทนนะจ๊ะ เมื่อกี้ไหมเพิ่งได้คุยกับหมอ หมอบอกว่าป้ามีโอกาสที่จะหาย อีกไม่นานป้าจะได้กลับบ้าน ไหมจะดูแลป้าเองจ๊ะ” แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าทุกคำที่เอ่ยออกไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคำโกหก แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะทำมันอยู่ดี นาทีนี้เธอยอมแลกทุกอย่าง ขอแค่ป้ามีชีวิตอยู่กับเธอไปนานๆ
“เวลาของป้ามาถึงแล้ว ห่วงเดียวตอนนี้ก็มีแค่ไหมกับเจ้าตัวเล็กในท้องเท่านั้น ไหมอดทดนะลูก ไหมของป้าเป็นคนดี สักวันสิ่งดีๆ จะเข้ามาหาไหม ขอแค่อดทน อย่าไปยอมแพ้...” นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ผู้เป็นป้าจะหมดลมหายใจไปอย่างสงบ ท่ามความเสียงกรีดร้องของม่านไหมที่ต้องมาเสียญาติคนสุดท้ายในชีวิตไปอย่างไม่มีวันกลับ
4ปีต่อมา
ภาพวิวทิวทัศน์ของสองข้างทางที่ดูแปลกตาไปจากเดิมตกอยู่ในสายตาคมเข้มของคนที่จากบ้านไปนานตลอดทาง เป็นเวลากว่าสี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาที่นี่ สถานที่เกิดและเติบโตขึ้น และแม้ว่ามันจะยาวนานในความรู้สึกของใครหลายq คน แต่สำหรับธีรเดชแล้ว มันเหมือนเรื่องทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานก็ไม่ผิดเพี้ยน!
เขาที่ตอนนี้ได้เลิกกับคนรักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาเหตุของการเลิกลากันนั้นเกิดจากหลายๆ สิ่งที่นับวันก็เหมือนจะยิ่งไม่ลงตัว โดยเฉพาะเมื่อปวีณ์นุชได้เจอกับคนที่ดีกว่า เขาก็ไม่คิดที่จะรั้งเธอไว้ ในเมื่อคนหมดรักกันแล้ว รั้งให้ตายอย่างไรก็คงไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ทุกความคิดหยุดชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปพบเข้ากับร่างอ้วนป้อมของเด็กคนหนึ่งที่ข้างทางเข้า เมื่อมองแล้วไม่พบใครอื่นจึงตัดสินใจชะลอรถเพื่อลงไปสอบถาม ด้วยกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้น
“หนู! มาเดินอะไรตรงนี้คนเดียวครับ แล้วนี่พ่อแม่หนูอยู่ไหน” ถามไปแล้วใจเจ้ากรรมก็กระตุกวูบเบาๆ ยามเมื่อใบหน้าน่ารักหันกลับมามองกันตาแป๋ว แต่เด็กน้อยที่มีความสูงเพียงเข่าก็ยังเงียบอยู่
“…..”
“ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ” ชายหนุ่มถามออกไปอีกหน เมื่อเจ้าตัวน้อยยังเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาสักคำ
“ว่าไง มาทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวครับ”
“แม่ไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้าค่ะ” เสียงเล็กน่าฟังตอบกลับเบาๆ สายตาเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ ช่างน่าเอ็นดูในความรู้สึกคนมองยิ่ง หากดูไม่ผิดธีรเดชเหมือนจะเห็นความเป็นนักสู้ในนั้น ซึ่งมันช่างเหมือนกับใครบางคนที่เขารู้จัก แต่นึกไม่ออกว่าใคร
“ฉันชื่อธีรเดช เป็นลูกชายเจ้าของไร่นี้ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ทีนี้จะบอกได้รึยังมาทำเดินเตร่อะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว” คิดเช่นนั้นธีรเดชจึงแนะนำตัว ก่อนจะลอบมองท่าทีของอีกฝ่ายไปพร้อมกัน ปกติแล้วเขาไม่ค่อยถูกโรคกับเด็กสักเท่าไหร่ แต่กับเด็กตรงหน้าคนนี้คงต้องยกเว้น เพราะแกน่ารักมากจริงๆ และก็เหมือนว่าเขาจะโดนความน่ารักที่ว่าเล่นงานเข้าอย่างจัง
ลูกใครหนอทำไมน่ารักแบบนี้ เห็นแล้วอยากอุ้มกลับบ้านชิบ!
