บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2

“เฮ้อ...หมดชั่วโมงสักทีว่ะแก ฉันนึกว่าจะต้องถูกหามไปส่งโรงพยาบาลก่อนจบคาบซะแล้ว” ดวงฤทธิ์บ่นอุบหลังจากเดินออกจากห้องเรียนมาหยุดอยู่หน้าลิฟต์เมื่อคาบแรกของวิชาจบลง ทั้งที่ตนเฝ้ารอมาเป็นเทอมเพราะคนสอนเป็นอาจารย์ขวัญใจนิสิตแต่พอเอาเข้าจริงเหมือนกำลังนั่งอยู่กลางศาลและถูกอัยการจี้ถามอย่างเอาเป็นเอาตายก็ไม่ปาน

“หน้าหล่อๆ แต่โหดสมคำร่ำลือจริงๆ ด้วยว่ะ ตอนแรกที่รุ่นพี่กระซิบบอกมาฉันยังไม่อยากจะเชื่อ” มุทิตาว่า

“อาจารย์คงรู้มั้งว่า ถ้าไม่โหดนิสิตก็คงไม่สนใจเรียนหรอก ขนาดพวกแกยังเอาแต่จ้องอาจารย์อย่างกับจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัวอย่างนั้น” ณกุลกระเซ้าแม้ใจจะยอมรับว่าอาจารย์ธีรัชต์โหดเข้าขั้นเลยทีเดียว นี่ถ้าคาบนี้ไม่ได้หนูพุกคอยช่วยตอบคำถามแล้วล่ะก็ เขากับเพื่อนๆ คงได้ตายศพไม่สวยแน่

“พุก เป็นอะไร หาอะไรหรือ” โศภิตาที่ยืนอยู่ใกล้กับหนูพุกเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าสะพายด้วยดวงหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ฉันต้องลืมสมุดเลคเชอร์ไว้ในห้องแน่เลย เดี๋ยวฉันไปดูก่อนนะ พวกแกลงไปก่อน ฝากสั่งกะเพรากุ้งร้านป้าเฉื่อยไว้ให้ด้วยนะ” พูดจบร่างเล็กก็รีบวิ่งไปยังห้องเรียนทันที โดยที่ณกุลพยายามจะก้าวเท้าตามไป แต่เพราะลิฟต์มาเสียก่อน ชายหนุ่มจึงถูกดวงฤทธิ์ที่ช่างไม่รู้ใจเพื่อนเสียเลยฉุดเข้าไปในลิฟต์พร้อมกัน

หนูพุกวิ่งกลับเข้ามาในห้องเรียนที่เธอเพิ่งจะออกไปเมื่อครู่ด้วยความรีบร้อนด้วยเกรงว่าจะมีแม่บ้านทำความสะอาดตึกเก็บไปทิ้งเสียก่อน แต่พอเธอเปิดประตูเข้ามาก็เป็นอันต้องชะงักกึกเมื่อเจอกับร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากำลังจะเปิดประตูออกมาพอดิบพอดี และเชื่อเถอะว่าถ้าเธอไม่ชะงักฝีเท้า เธอคงได้หน้าทิ่มเข้ากับร่างสูงของอาจารย์ธีรัชต์เป็นแน่

“ขอโทษค่ะอาจารย์ คือ...” เสียงหวานกล่าวได้เพียงเท่านั้นแล้วก็มองสมุดจดบันทึกของตัวเองที่อยู่ในมือของธีรัชต์ มันเป็นสมุดบันทึกที่ไม่เหมือนใครและก็ไม่มีใครเหมือนเพราะมันเป็นสมุดขนาดใหญ่ที่เธอนำกระดาษเอสี่มาร้อยห่วงวาดหน้าปกไว้ได้อย่างน่ารักสำหรับเลคเชอร์ในแต่ละวิชาโดยเฉพาะ

“นี่สมุดของคุณใช่มั้ย” ก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ เสียงห้าวก็ถามขึ้นพลางยื่นสมุดในมือคืนให้กับเธอที่รับไปใส่กระเป๋าสะพายของตัวเองทันที

“ใช่ค่ะ ขอบคุณนะคะอาจารย์”

“ผมบังเอิญเห็นเข้าพอดี เลยเก็บไว้ กลัวว่าถ้าแม่บ้านมาเจอจะเก็บทิ้ง” เขาอธิบายขณะเดินออกจากห้องมาหยุดยืนหน้าลิฟต์ มือหนาเอื้อมไปกดปุ่มลิฟต์ขึ้นเพื่อกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองบนชั้นสิบสอง ในขณะที่หนูพุกกดปุ่มลิฟต์ลง “เมื่อครู่ผมเสียมารยาทเปิดอ่านที่คุณเลคเชอร์ไว้ คุณจดได้ละเอียดดีนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะจดที่ผมบรรยายทันด้วย”

แหงล่ะ วิธีการสอนของเขาคือ การบรรยายไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีพาวเวอร์พ้อยท์ (power point) ขึ้นบนหน้าจอสำหรับให้นิสิตได้จดตาม แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดในนั้นมากมาย เพราะสุดท้ายรายละเอียดทั้งหมดเขาจะมาบรรยายปากเปล่าเสียมากกว่า ทีนี้ก็สุดแต่ว่าใครจะจดทันหรือไม่ทันก็เท่านั้น

“จดทันแต่ลายมือไม่ได้เรื่องเลยค่ะ” หญิงสาวว่าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ รู้สึกประหม่าชอบกลที่ต้องมายืนคุยกับเขาอย่างนี้ ประหม่าจนเกรงว่าตัวเองจะทำอะไรป้ำๆ เป๋อๆ ให้อาจารย์หนุ่มเห็นอีก แค่เธอเดินชนเก้าอี้เลคเชอร์ในคาบเรียนก็อายจะแย่แล้ว

“ลายมือคุณก็ไม่ต่างอะไรจากลายมือผมนักหรอก ผมไปก่อนนะ” ธีรัชต์กล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปในลิฟต์เมื่อประตูลิฟต์ที่กำลังชักลอกขึ้นชั้นบนเปิดออก พลางพยักหน้ารับไหว้หญิงสาวที่เอ่ยลา แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง เสียงห้าวก็เอ่ยกับคนตัวเล็กว่า “อ้อ...รูปหน้าปกของคุณนี่ น่ารักดีนะ...”

หนูพุกอ้าปากค้างมองประตูที่ปิดลงโดยที่เธอไม่ทันได้ตอบโต้อะไร จะบอกว่าพูดไม่ออกก็คงได้เพราะเวลานี้ใจเจ้ากรรมมันกำลังเต้นเป็นรัวกลอง ไม่ใช่เพราะคำชมของเขาหรอกนะ แต่เป็นรอยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงสวยมีเสน่ห์ชวนฝันของเขาต่างหากที่มันทำให้เธอแทบลมจับ

โอ๊ย...เป็นอะไรของแกเนี่ยยัยหนูพุก ทำอย่างกับไม่เคยมีผู้ชายยิ้มให้อย่างนั้นแหละ...สาวเจ้าตำหนิตัวเองในใจขณะก้าวเข้าไปในลิฟต์เพื่อไปหาเพื่อนๆ ที่โรงอาหาร...ไอ้เรื่องที่แอบกรี๊ดกร๊าดอาจารย์ธีรัชต์ เธอยอมรับนะว่าก็แอบมีบ้างเวลารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ แต่มันก็เป็นไปเพื่อให้การสนทนามีรสชาติมากขึ้นก็เท่านั้นแล้วไม่ใช่แค่กับอาจารย์เท่านั้นที่ถูกพูดถึง ต้องบอกว่าใครก็ตามที่หน้าตาดีเข้าขั้นหล่อ พวกเธอเป็นอันต้องเก็บมาเพ้อพกตลอด แต่ไม่คิดเลยว่าการได้พูดคุยกับอาจารย์ธีรัชต์เมื่อครู่จะทำให้เธอรับรู้ถึงพลังแห่งความ ‘ดาเมจ’ ของเขาที่มีอยู่ในระดับสูงอย่างนี้ เรียกว่าทำให้เธอผู้ซึ่งไม่เคยใจสั่นกับชายใดออกอาการเก้อเขินหน้าร้อนขึ้นมาได้เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของเขา

แกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ยัยหนูพุก!

หนูพุกนั่งอ่านเอกสารประกอบการเรียนซึ่งอาจารย์ประจำวิชาได้ระบุให้อ่านเป็นบทๆ ในแต่ละคาบเรียน แถมยังเน้นย้ำให้เธอกับเพื่อนๆ อ่านกันทุกคน แต่หญิงสาวเชื่อแน่ว่า เพื่อนๆ ของเธอคงไม่มีใครมานั่งอ่านแล้วทำสรุปแบบเธอแน่ๆ อย่างมากที่สุดก็คงจะแค่กวาดสายตาอ่านผ่านๆ พอให้ได้รู้เนื้อหาคร่าวๆ ก็เพียงเท่านั้น ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่มีปัญหาเรื่องภาษาเพราะคุ้นชินกับการต้องอ่านตำราภาษาอังกฤษกันมาหลายต่อหลายปี แต่เรื่องของความขี้เกียจมันก็ไม่เข้าใครออกใคร หนูพุกคิดว่าบางที เธอเองก็อยากจะขี้เกียจแบบเพื่อนๆ บ้างเหมือนกัน แต่เพราะเธอมีความหวังและความฝันที่จะต้องทำให้สำเร็จ เธอจึงไม่สามารถขี้เกียจได้เหมือนคนอื่นๆ

เสียงรถยนต์แล่นมาจอดที่หน้าบ้านตามด้วยเสียงเปิดประตูรั้วทำให้ร่างเล็กที่นั่งอ่านหนังสืออยู่รีบรุดออกมาพร้อมกับวิ่งเข้าหาสตรีวัยกลางคนที่เดินลงจากรถหลังจากจอดรถสนิทเรียบร้อย หนูพุกโผเข้ากอดสุจิราจนแน่นทั้งยังหอมแก้มซ้ายแก้มขวาอย่างแสนคิดถึง เสียงหวานก็ออดอ้อนทันที

“คิดถึงแม่จังเลย ไปสัมมนาสนุกมั้ยคะ”

“สนุกอะไรล่ะลูก แม่ไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยวเสียหน่อย” สุจิราตอบลูกสาวอย่างเอ็นดูพลางเดินไปท้ายรถพร้อมกับหยิบเอาของฝากส่งให้ลูกสาวก่อนจะพากันเดินเข้าบ้าน

“เสียดายที่พุกติดเรียน ไม่อย่างนั้นจะขอติดสอยห้อยตามแม่ไปด้วย”

“แม่เองก็ยังนึกเสียดายอยู่เลย งานคราวนี้เขาจัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-ญี่ปุ่นเสียด้วย ยังคิดเลยว่าถ้าพุกไปด้วยต้องชอบแน่ๆ” สุจิรากล่าวพร้อมกับเดินมานั่งที่โซฟาหลังเล็กรอลูกสาวคนสวยวิ่งไปนำน้ำดื่มแก้กระหายมาให้ ครั้นเมื่อรับน้ำเย็นจัดพอให้ชื่นใจแล้ว นางก็เริ่มเล่ากิจกรรมที่นางได้ไปเข้าร่วมให้ผู้เป็นลูกที่หลงใหลในประเทศญี่ปุ่นฟัง

สุจิราเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาและวัฒนธรรมต่างประเทศของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นอกจากภารกิจที่จะต้องสอนหนังสือแล้ว ในบางครั้งบางโอกาสนางก็จะต้องเดินทางไปต่างแดนเพื่อประชุมบ้าง พานักศึกษาไปดูงานบ้างแล้วแต่ทางภาควิชาจะกำหนดหน้าที่ ในบางครั้งนางก็มักจะขอพาลูกสาวไปด้วยหากในช่วงนั้นหนูพุกไม่ติดเรียน เพราะเชื่อว่าคนเป็นลูกจะต้องเก็บเกี่ยวเอาสาระความรู้ที่ได้จากการดูงานไปใช้ในการเรียนของตัวเอง ไม่ใช่คิดแต่จะไปเที่ยวโดยไม่ได้อะไรเลย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไว้โอกาสหน้าก็ได้ หรือไม่ถ้าพุกเรียนจบโทแล้ว พุกอาจจะไปต่อเอกที่ญี่ปุ่นไปเลย ดีมั้ยคะแม่”

“แล้วแต่เลยลูก แม่ยังไงก็ได้ ถ้าพุกไปญี่ปุ่น แม่ก็จะได้ไปหาพุกบ่อยๆ ได้ด้วย”

เพราะความที่อยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนแม่ลูก ทำให้สุจิรากับหนูพุกสนิทกันมาก ทั้งคู่ไม่ใช่เพียงแค่แม่ลูก หากแต่เป็นเหมือนพี่เหมือนน้องและเหมือนเพื่อนในบางครั้ง ทำให้เวลามีปัญหาหรือมีเรื่องอะไรหนูพุกมักจะปรึกษาแม่ตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ด้วยเหตุผลที่เธอบอกกับใครๆ อย่างภาคภูมิใจว่า

“พุกมีแม่ที่เป็นทั้งครู เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งพี่สาว และเป็นทั้งเพื่อนในคราวเดียวกัน คุ้มจะตาย แม่ให้คำปรึกษาได้ดีกว่าคนอื่นเป็นร้อยเป็นพันคนเสียอีก”

แม้กระทั่งการที่เธอตัดสินใจลาออกจากบริษัทต่างชาติที่ทำมาตั้งแต่เรียนจบเพื่อมาศึกษาต่อ เธอก็ได้รับคำแนะนำจากผู้เป็นแม่ที่เชื่อมั่นเสมอว่า ลูกสาวจะสามารถเดินไปในทางที่ตัวเองเลือกได้อย่างสวยงาม แม้ใครต่อใครอาจจะมองว่าเสียดายเวลาเพราะการเรียนปริญญาโทมันค่อนข้างกินเวลานาน แถมงานที่หนูพุกทำอยู่ก็ได้เงินเดือนมิใช่น้อย

“พุกอยากเป็นครูเหมือนแม่ค่ะ พุกเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถ้าไม่ได้ทำงานในกระทรวง พุกก็อยากจะเป็นครู เพราะมันได้ใช้สิ่งที่พุกเรียนมาตรงจุดมากที่สุด” หนูพุกบอกกับแม่อย่างนี้ก่อนจะตัดสินใจแล้วว่าจะลาออกจากบริษัทเพื่อมาเดินตามความฝันของตัวเอง “แม่ไม่ว่าอะไรใช่มั้ยคะ เพราะพอจบโทแล้วพุกอาจจะต้องต่อเอกเลย และมันก็คงจะใช้เวลานานมากกว่าจะจบ”

“แม่จะว่าอะไรล่ะลูก พุกมีความฝันมีความคิดในสิ่งที่ดีแม่มีแต่จะสนับสนุน อีกอย่างแม่ก็เป็นครู แม่จะไม่สนับสนุนพุกได้ยังไง” เพียงเท่านี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้หนูพุกมีความมั่นใจและมุ่งมั่นกับความฝันของตัวเอง ยิ่งแม่ของเธอให้การสนับสนุน เธอยิ่งจะต้องทำมันให้ดีที่สุด

“แล้วนี่อ่านอะไรอยู่ล่ะลูก” สุจิราเอ่ยถามเมื่อลูกสาวเริ่มหันไปสนใจกับเอกสารภาษาอังกฤษที่อยู่บนโต๊ะกระจกเตี้ยๆ หน้าโซฟา

“บทความที่อาจารย์สั่งมาค่ะ ขืนไม่อ่าน อาจารย์จี้ถามตอบไม่ได้นี่ซวยเลย อาจารย์คนนี้ดูภายนอกเหมือนใจดี๊ใจดี แต่เอาเข้าจริง แอบโหดมากเลยค่ะแม่”

พอได้ทีก็แอบนินทาอาจารย์ธีรัชต์ให้ผู้เป็นแม่ฟัง ก่อนจะหันไปตั้งอกตั้งใจกับการอ่านเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเรียนในครั้งต่อไป อย่างน้อยเวลาอาจารย์ถาม ถ้าคนอื่นไม่ตอบ เธอจะได้ตอบได้ ไอ้บรรยากาศ อึมครึมมันจะได้เบาบางลงไปบ้าง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel