บทนำ
“รถเจ้ากรรม ทำไมถึงมาดับเอาตอนนี้เนี่ย!!”
นิรา หรือนิรารินทร์ วรรธนาวินธ์ เด็กสาวม.ปลาย เธอเรียนอยู่โรงเรียนนานาชาติ ม.5 จะขึ้น ม.6 ต้องมาหัวเสียกับรถจักรยานยนต์คู่ใจคันโปรดเมื่อเช้าบิดาของเธอบอกว่าจะมาส่ง แต่เธอดันไม่ยอมและรั้นจะเอาไอ้สีหมอกออกมาเองเสียให้ได้ แล้วเป็นไงล่ะ สมน้ำหน้าตัวเองไหม นี่ยังฟ้าครึ้มดูท่าเหมือนฝนจะตกเสียด้วยซ้ำ
ร่างบางกับชุดนักเรียนม.ปลาย กระโปรงสีน้ำเงินเข้ม 6 จีบทรงแคบ สีกระโปรงจะเป็นเอกลักษณ์ว่าเธอเรียนโรงเรียนอะไร แน่นอนว่าค่าเทอมต่างแพงหูฉี่ เธอเข็นรถคู่ใจไปตามทางเรื่อยๆ มองซ้ายแลขวาซึ่งตอนนี้นอกจากจะเริ่มเย็นแล้ว แม้จะเป็นเวลาห้าโมงเย็นนิดๆ แต่ทว่ากลับมืดไวกว่าปกติ เพราะเริ่มจะครึ้มฟ้าครึ้มฝน
เจ้ากรรม!! จู่ๆ ฝนก็สาดเทลงมาซะอย่างนั้น!!
แม้ว่าจะมีผู้คนอยู่บ้าง แต่ทว่าไม่มีใครสนใจเธอเลย แต่แล้วก็เหมือนมีพ่อพระมาโปรดเมื่อจู่ๆ เสียงของใครคนหนึ่งก็เอ่ยดังขึ้น
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ? ”
แน่นอนว่าด้วยเสียงฝนทำให้เธอได้ยินเขาไม่ถนัดนัก จนทั้งคู่ถามตอบกันไปมาอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่ชายร่างสูงจะเดินฝ่าสายฝนเข้าไปหาเธอใกล้ๆ
เปรี๊ยงงงง!!
เสียงของฟ้าร้องบวกกับแสงสว่างจ้า มันทำให้เธอทิ้งรถวิ่งมากอดคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ดีที่เขาคว้ารถคันคู่ใจของเธอได้ทัน
ขุนเขา หรือ นทีธร สุริยะพงศ์ เขาเป็นนักศึกษาปีสองที่กำลังวิ่งออกกำลังกายเฉกเช่นทุกเย็น แต่บังเอิญวันนี้ไม่รู้เขานึกยังไงถึงได้ออกมาวิ่งตามถนน ซึ่งปกติแล้วเขาจะวิ่งในสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัย
เม็ดฝนที่กระหน่ำเทอย่างไม่ขาดสายทำให้เขายังมองเห็นเธอไม่ชัดเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไรนะ ก็แค่ฟ้าร้อง เดี๋ยวพี่พาไปหลบตรงมุมนู้นก่อน”
แน่นอนว่ามันเป็นป้ายรถเมล์เล็กๆ ที่พอจะหลบแดดหลบฝนได้ คนตัวโตจูงรถจักรยานยนต์พร้อมกับใครอีกคนที่ยังโอบเอวเขาอยู่ เขานึกขำในใจ
เมื่อคนทั้งสองต่างมาถึงมุมหลบพัก หญิงสาวก็ปาดมือขึ้นลูบน้ำฝนออกจากใบหน้าสวย ตอนนี้นี่เองที่ทำให้เขามองคนร่างบางได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
รถมอเตอร์ไซด์ถูกจอดไว้ตรงขอบไหล่ทาง ตอนนี้รถไม่ค่อยสัญจรไปมาเท่าไหร่นัก ก่อนที่ร่างเล็กที่ยืนตัวสั่นด้วยความหนาว กับเสื้อนักเรียนเมื่อเปียกน้ำ มันก็บางจนแทบจะเห็นสรีระของเธอ เขาต้องเบือนหน้าหนีไปหลายต่อหลายรอบ
“พี่ว่าสักพักฝนก็น่าจะซาลงบ้างแล้ว”
เขาพูดให้อีกคนสบายใจ เมื่อได้ยินดังนั้นคนตัวบางก็เริ่มหันหน้ามองที่มาของคำตอบ
เขาตัวสูงมาก มากแบบกอไก่ล้านตัว ผิวเข้มนิดๆ กับชุดบาสตัวใหญ่ เธอลอบสำรวจเขาจนลืมไปเลยว่าตอนนี้ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้ว
“ฝนเริ่มซาแล้ว แล้วนี่เราจะกลับยังไง? ”
เขาถามเพราะรถของเธอก็พัง
“จะให้พี่ไปส่งมั้ย? ”
แน่นอนเขาเรียกแทนตัวเองว่าพี่ เพราะเธอใส่ชุดนักเรียนม.ปลาย ของโรงเรียนเอกชนชื่อดังของที่นี่
“รถจู่ๆ ก็ดับไปอ่ะค่ะ พี่….?? ” พี่อะไรดีล่ะ เธอไม่รู้จักชื่อเขาเลยนี่นะ “พี่พอจะรู้จักร้านซ่อมแถวนี้มั้ยคะ? ”
“อ้อ … ร้านแถวนี้ส่วนมากเขาจะปิดหกโมงเย็น”
ว่าแล้วคนตัวสูงกว่า 192 ก็ยกข้อมือขึ้นมามองนาฬิกา แต่ว่าตอนนี้หน้าปัดมันเต็มไปด้วยน้ำ!! เขาหันมายิ้มให้เธอก่อนจะบอกอะไรอีกอย่างออกไป
“นาฬิกาพี่พังแล้วสิ แต่ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเราก็ค่อยๆ เข็นรถไปก็แล้วกัน”
จู่ๆ เขาก็ตั้งขาตั้งรถและจอดไว้นิ่งๆ ก่อนจะเดินมาหาคนร่างบาง จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาทำท่าว่าจะแตะที่ตัวของหญิงสาว เมื่อเขาเห็นว่าเธอมีท่าทีตกใจ จึงได้เอ่ยพูดบางอย่างออกไป
“พี่จะช่วยบิดผ้าให้ ถ้ามันหมาดกว่านี้น้องจะได้ไม่หนาวมาก”
แน่นอนว่าเขาคิดแค่จะช่วยเธอบิดเสื้อผ้าให้มันหมาดๆ มันจะได้ไม่ดูบางแนบเนื้อแบบนี้
“เอ่อ … ค่ะ … หนูชื่อนิรารินทร์ เรียกนิราก็ได้ค่ะ”
แน่นอนว่าเขาน่าจะเดาชื่อเธอได้ไม่ยากจากป้ายที่ปักไว้ทางฝั่งซ้ายของหน้าอก
“พี่ชื่อขุนเขานะครับ เรียนมหาลัยกีฬาอยู่ปีสอง”
เธอยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร พร้อมด้วยพยักหน้ารับทราบ
เมื่อทั้งคู่เข็นรถจนมาถึงร้านซ่อมแถวนั้น แต่ว่าตอนนี้แต่ละร้านก็ต่างปิดกันไปหมดแล้ว เขามองดูหน้าของหญิงสาวที่คิดไม่ตก ตอนนี้น่าจะหกโมงกว่าๆ แล้วจากการคาดเดา ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเอ่ยอะไรออกมาเพื่อให้เธอสบายใจ
“เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อนเอง แล้วบ้านนิราอยู่ไหนครับ ไกลมั้ย เดี๋ยวพี่เดินไปเป็นเพื่อน? ”
เขาพูดขณะที่มือยังคงจูงรถคู่ใจของเธอไปด้วย
“ห่างจากที่นี่น่าจะเกือบๆ สองกิโลค่ะ ไม่ไกลมาก นิราไม่รบกวนพี่ดีกว่านะคะ”
แน่นอนว่าเธอเกรงใจ เพราะเขาต้องมาเสียเวลาเพราะเธอเป็นพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ชายหนุ่มกลับไม่คิดแบบนั้น เพราะตอนนี้มันค่อนข้างมืดและเปลี่ยว
“เดี๋ยวพี่ไปส่งบ้าน เดินๆ เล่นไป ถือว่าออกกำลังกายไปด้วย”
เขาพูดพร้อมหันมายิ้มให้กับเธอ มันช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ารักและทรงเสน่ห์ เธอเป็นบ้าอะไรไปนะนิรารินทร์ ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงแปลกๆ มาพร้อมกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวๆ ดีนะที่มันมืด จึงทำให้ใครอีกคนไม่สังเกตเห็น
คนทั้งคู่ที่เดินเคียงคู่กันไปด้วยความมืด แต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถยนต์ยี่ห้อหรูเข้ามาจอดแนบข้างพวกเธอ
“นิราลูก!!”
แน่นอนว่านั่นคือเสียงของณรงค์ บิดาของเธอตามด้วยเสียงของ ปิยะฉัตร มารดาของเธออีกคน
“นิรา!!” ปิยะฉัตรรีบลงจากรถเมื่อสามีพึ่งจอดสนิท ก่อนจะโผเข้ากอดลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่บิดาของเธอจะลงมาจากรถอีกคน
“พ่อคะ” จากนั้นเธอก็โผเข้ากอดณรงค์บ้าง
“รู้ไหมว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงเราขนาดไหนเนี่ยหือ”
แน่นอนว่าสองสามีภรรยาต่างพากันออกตามหาลูกสาว แต่ที่คลาดกันเพราะเส้นทางที่มาหาร้านซ่อมมันอยู่ในซอย จึงทำให้เปลี่ยนจากเส้นทางหลักที่เธอใช้กลับบ้านเป็นประจำ
“แล้วพ่อหนุ่มคนนี้ …? ”
ปิยะฉัตรหันไปลอบสำรวจหนุ่มหล่อตัวสูงที่กำลังเข็นรถให้ลูกสาว ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ตั้งขาตั้งลง พร้อมกับยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ”
เขาเพียงแค่พูดได้แค่ประโยคสวัสดี เพราะเสียงที่เอ่ยบอกพ่อกับแม่ตามมาต่างเป็นเสียงของคนตัวจิ๋ว เธอเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้พ่อกับแม่ฟัง ซึ่งนั่นมันทำให้คนทั้งคู่ต่างรู้สึกขอบคุณเขาอยู่ไม่น้อย ก็นิราเป็นถึงแก้วตาดวงใจของพวกเขา เพราะนั่นคือลูกสาวเพียงคนเดียว คนที่เป็นทั้งชีวิตและจิตใจของหัวอกของคนเป็นพ่อแม่
“แล้วนี่จะกลับยังไงล่ะลูก นี่ก็มืดมากแล้ว?”
เสียงของปิยะฉัตรเอ่ยถาม
“เดี๋ยวผมเดินกลับได้ครับ”
แน่นอนว่าเขาคิดที่จะทำตามที่พูดจริงๆ แต่ณรงค์ไม่ยอม มีที่ไหนจะทิ้งขว้างคนที่คอยดูแลลูกสาวของเขาได้ลง จนในที่สุดก็ได้บทสรุปที่ว่า ทุกคนจะไปส่งขุนเขา ซึ่งจะฝากรถคู่ใจของเจ้าลูกสาวตัวแสบไว้ใต้หอพักชายของเขาก่อน พรุ่งนี้ณรงค์ถึงจะให้คนที่บ้านมาเอาไปซ่อม
ระหว่างทางกลับหอก็เกือบๆ สองกิโลเช่นกัน โดยที่ณรงค์กับภรรยาต่างขับรถตามคนทั้งคู่ แน่นอนว่านิราขอเดินเป็นเพื่อนขุนเขาในระหว่างทางที่ส่งขุนเขากลับหอ คนที่เดินตามชายหนุ่มที่เข็นรถคู่ใจของเธอ เจ้าหล่อนก็ลอบสำรวจคนตัวสูงอย่างไม่ละสายตา
เมื่อมาถึงหอแล้ว เขาก็เอารถจักรยานยนต์ของเธอจอดไว้ข้างล่าง ก่อนจะทำการล็อกคอ และส่งกุญแจคืนเจ้าของ ตอนนี้ร่างของผู้ใหญ่ทั้งสองคนต่างก็เดินลงมาจากรถเพื่อกล่าวขอบใจเขาอีกครั้ง
“ขอบใจมากนะลูกขุนเขา ถ้าไม่ได้ขุนเขาในวันนี้ แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านิราจะต้องเจอกับอะไร”
แน่นอนว่าปิยะฉัตรคิดแบบนั้นจริงๆ ซึ่งสามีของเธอก็กล่าวขอบคุณขุนเขาไม่ต่างกัน แม้ทั้งคู่จะรวยมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจหรือถือยศถือศักดิ์อะไร
ตามมาด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของคนร่างบาง ที่ตอนนี้หน้าตาแช่มชื่นกว่าแต่ก่อนมากนัก เธอคงรู้สึกสบายใจและรู้สึกปลอดภัย
“พรุ่งนี้ลุงภพน่าจะมาเอารถที่นี่นะคะ แต่นิราจะได้เจอพี่อีกมั้ยคะ? ” แน่นอนว่าเธอคิดแบบนั้นจริงๆ จนถูกผู้เป็นมารดาเอ่ยห้ามไว้
“นิราลูก …. กลับบ้านได้แล้วจ้ะ รบกวนพี่เขาเยอะเกินไปแล้วนะ” นิราโบกมือลาพี่ชายใจดีก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งรถยนต์ยี่ห้อหรู
