Chapter 4 ญาติจะเยอะไปไหน
คีรตินั่งหมุนปากกาอย่างครุ่นคิด หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่นเข้าหากัน ในขณะที่ดวงตาคมกริบมองไปที่แฟ้ม สลับกับมองภาพถ่ายของคนเป็นปู่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน
“ผมจะทำยังไงดีครับคุณปู่ เลือกบริษัทหรือครอบครัว” คีรติรำพึงกับตัวเองเบา ๆ
ในห้วงจังหวะความคิดเสียงอินเตอร์คอมสื่อสารภายในห้องก็ดังขึ้น ต่อด้วยเสียงหวานของเลขาสาว
“ติ๊ง! บอสคะ! คุณเมยาวดีมาขอพบค่ะ”
คีรติกดไปที่แป้น ตอบกลับเสียงเข้ม “ผมไม่รับแขก”
หลังจากที่ตอบกลับไปชายหนุ่มก็หยิบแฟ้มขึ้นมาพิจารณาอีกรอบ เมยาวดีคือหนึ่งในลูกสาวของฐากิตลุงของเขา เธอเกิดจากลูกเมียรองที่ปู่กับย่าของเขาไม่ยอมรับ แต่หลังจากที่คุณปู่เสียชีวิต ฐากิตก็พยายามดึงลูกเข้ามาทำงานและมีบทบาทในบริษัท
คีรติรู้ว่าการมาของเมยาวดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับเอกสารบนโต๊ะนี้
"เข้าไปไม่ได้นะคะ" เสียงเลขาดังขึ้นจากหน้าห้อง พอคีรติเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเลขาของเขาไม่สามารถห้ามแขกคนนั้นได้ เธอยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา
"ขอประทานโทษค่ะบอส ฉันห้ามเธอไม่ทันจริง ๆ ค่ะ" แสงระวีรีบขอโทษเจ้านาย เพราะรู้ว่านี่คือความผิดร้ายแรง คีรติยกมือให้สัญญาณกับเธอให้ออกไปก่อน เขาเองก็เข้าใจในความสุดวิสัย
แสงระวีโค้งศีรษะให้อย่างขอโทษอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะเดินออกไป หลังจากนั้นชายหนุ่มเจ้าของห้องจึงเอ่ยถามแขก
"มีธุระอะไรครับ"
"ก็ไม่เห็นยุ่งอะไรนี่คะ เห็นนั่งอยู่เฉย ๆ ประธานบริษัทที่นี่เข้าถึงตัวยากจังเลยนะคะ"
"คุณมีธุระอะไรก็พูดมาเถอะ ผมมีเวลาไม่มาก" เขาบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่ทว่าห่างเหินเกินกว่าคำว่าเครือญาติ
"เมย์แค่อยากจะมาฝากเนื้อฝากตัวกับท่านประธาน ฝาก MT ด้วยนะคะ บริษัทของเมย์เองค่ะ" เมยาวดีบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
"ฮึ!" เขาเค้นเสียงเยาะในลำคอ ริมฝีปากหยัดยกขึ้นเล็กน้อย มีบริษัทของกิตติกร และยังมีบริษัทของเมยาวดีเข้ามาอีกเหรอเนี่ย ใจคอลุงจะเปิดบริษัทให้ลูก ๆ ครบทุกคนเลยหรือไง
"คุณมาก็ดีแล้ว ผมกำลังจะโยนแฟ้มนี้ลงถังขยะพอดี จะได้ประหยัดเวลาเลขาผมส่งอีเมลไปแจ้งอีกรอบ" จบประโยคเขาก็หย่อนแฟ้มประมูลงานของบริษัท MT ลงถังขยะ
"เห็นแก่ความเป็นญาติกันบ้างนะคะ อย่าผยองให้มาก ยังไงฉันก็เป็นพี่คุณ"
คีรติยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ขยับตัวลุกขึ้นยืน พลางล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกง "ในฐานะซีอีโอผู้มีอำนาจเต็ม ผมมีสิทธิ์เลือกบริษัทที่มีคุณภาพมาร่วมงาน อย่าเอาความเป็นญาติมาดึงชื่อเสียงบริษัทให้ต่ำลงเลย"
"จะพูดอะไร ให้นึกถึงคุณพ่อบ้างนะ ยังไงท่านก็เป็นลุงของคุณ"
"สำหรับผม ไม่มีญาติพี่น้องในวงการธุรกิจ ถ้าจะนับญาติ…เชิญที่บ้าน"
"จองหอง อวดดี ฉันเป็นพี่เธอตั้งหลายปีนะ"
คีรติกลับไปนั่งบนโต๊ะทำงานของตัวเองอีกครั้งพร้อมกับผายมือเชิญ
"ถ้าหมดธุระแล้วก็เชิญครับ"
"ฉันขอเหตุผลในการปฏิเสธบริษัทของฉัน"
"ถ้าคุณตอบผมได้ 3 ข้อ ผมจะให้ฝ่ายกฎหมายติดต่อทำสัญญากับบริษัทของคุณทันที"
"ว่ามา"
"ตามมาตรฐานเหล็กคานพื้นใช้กี่มิลลิเมตร เหล็กขนาดที่คุณใช้รับน้ำหนักได้กี่กิโลกรัม ทำไมบริษัทของคุณ คุณถึงเลือกใช้คานเหล็ก"
"เอ่อ…" เมยาวดีอึกอัก
"อย่าบอกว่าคุณไม่รู้นะ เพราะคุณเซ็นเอกสารฉบับนี้มาด้วยตัวคุณเอง แม้คุณจะไม่ใช่วิศวกรก่อสร้าง แต่ความรู้พื้นฐานพวกนี้คุณจะต้องรู้" คีรติบอกดักคอ ปิดทุกช่องทางของเมยาวดี
"ฉันเป็นผู้บริหาร ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง เพราะบริษัทของเรามีบุคลากรที่เชี่ยวชาญคอยดูแลทุกส่วนเป็นอย่างดีอยู่แล้ว"
"เหรอครับ"
"นักบริหารที่ดี คือรู้ที่จะใช้คนให้ถูกกับงาน ไม่ใช่ต้องนั่งทำเองทุกอย่าง" เมยาวดียังคงยืดอกอวดเหมือนอึ่งอ่างที่กำลังพองลม
"ผมจะบอกให้เอาบุญนะ เผื่อว่าคุณจะต้องไปเสนองานที่บริษัทอื่น เหล็กขนาดที่บริษัทคุณใช้ต่ำกว่ามาตรฐาน 2 มิล และนั่นหมายความว่ามันจะไม่สามารถรับน้ำหนักตามมาตรฐานของบ้านได้ อีกอย่าง…ที่บริษัทของคุณเลือกใช้คานเหล็กแทนที่จะใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก ก็เพราะง่ายและสะดวก ประหยัดเวลาและแรงงานมากกว่า แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่าระยะยาว เจ้าของบ้านจะต้องเจอปัญหากับผลงานชุ่ย ๆ แบบนี้อย่างไรบ้าง ผมจะไม่ยอมให้แบรนด์ฐิติกรคอนสตรัคชั่นมีบริษัทผู้รับเหมาไม่รับผิดชอบแบบนี้เด็ดขาด"
เมยาวดีสะบัดหน้าพรืด เดินกระแทกส้นออกจากห้องไปด้วยความโมโห
คีรติกลับมานั่งทำงาน ยังไม่ทันครบชั่วโมงแขกคนใหม่ก็มาเยือน แต่ก็หนีไม่พ้นครอบครัวผู้เป็นลุง คราวนี้เขามาพร้อมกับลูกสาวคนเล็ก กิรนาเป็นลูกสาวที่เกิดกับภรรยาอีกคน
"สวัสดีค่ะพี่คีย์" หญิงสาวยกมือทำความเคารพอย่างนอบน้อม เพราะพ่อของเธอบอกว่าจะพามาฝากงานที่บริษัท
"คุณลุงมีธุระด่วนกับผมหรือเปล่าครับ อีก 10 นาทีผมมีประชุม" ชายหนุ่มเอ่ยปากถามพร้อมกับขยับชายเสื้อสูทมองเวลาบนนาฬิกา หลังจากที่เขายกมือทำความเคารพผู้เป็นลุงเรียบร้อย
"ลุงมีเรื่องจะรบกวนน่ะ"
"ครับ" เขาตอบรับเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายพูดธุระต่อได้เลย
"ลุงอยากจะฝากให้ยัยกิมาทำงานที่นี่น่ะ น้องเพิ่งจะเรียนจบ ลุงอยากให้น้องได้อยู่ใกล้คนเก่ง ๆ อย่างคีย์"
ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับท้ายทอยของตัวเอง พ่นลมหายใจออกมาจากปลายจมูก "ผมว่าคุณลุงน่าจะพากิรนาไปที่ฝ่ายบุคคลดีกว่านะครับ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลน่าจะจัดสรรตำแหน่งให้เธอได้ดีกว่า"
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลคือทิพย์สุภาลูกสาวอีกคนที่เกิดจากภรรยาหลวง พี่สาวของกิตติกร ทายาทเพียงสองคนที่ปู่กับย่ารับรอง แต่หลังจากปู่เสียและย่าย้ายไปอยู่ที่หัวหิน บรรดาลูกบ้านเล็กก็ต่างตบเท้าเข้ามามีส่วนร่วมในบริษัทมากขึ้น
"คีย์ก็รู้ว่ายัยทิพย์ไม่ถูกกับน้อง แต่ถ้าคีย์ออกปาก ยัยทิพย์จะไม่กล้าปฏิเสธ"
"อย่าให้ผมต้องก้าวก่ายงานของแผนกอื่นเลยครับ" คีรติปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาคิดว่าเรื่องภายในครอบครัวของลุง ท่านควรจะจัดการด้วยตัวเอง ในขณะที่ตัวเขาก็เกลียดการใช้เส้นสาย
"ช่วยน้องหน่อยนะคีย์ รับน้องมาเป็นผู้ช่วยเลขาของคีย์ก็ได้ ช่วงนี้งานเยอะไม่ใช่เหรอ"
ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างหนักใจ นึกถึงเรื่องของเมยาวดีเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา เขาเชื่อว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะต้องถึงหูคนเป็นพ่อ และเรื่องก็จะวนกลับมาที่เขาเหมือนเดิม กลายเป็นสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกวนเวียน หากจะให้เลือกช่วยระหว่าง 2 คนนี้ เขาเลือกที่จะช่วยกิรนาดีกว่า
"เดี๋ยวผมจะคุยกับพี่ทิพย์ให้นะครับ แต่ยังไม่รับปาก"
"ขอบใจมากคีย์"
ชายหนุ่มขยับตัวลุกพร้อมกับมองนาฬิกาอีกรอบ "ผมต้องขอตัวไปประชุมก่อนนะครับ"
กิรนาโปรยยิ้มหวานให้เขา พนมมือไหว้ "ขอบคุณพี่คีย์ที่กรุณากินะคะ"
กิรนาถูกแม่ของเธอปลูกฝังให้เข้าหาคีรติ โดยไม่สนใจสายเลือดที่เกี่ยวข้องกัน หากจับเขาอยู่หมัด เธอจะได้ทุกอย่าง รวมถึงได้ฉีกหน้าทิพย์สุภาที่หยิ่งผยองว่าเป็นลูกเมียหลวงด้วย นั่นหมายถึงยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว
เหตุผลหลักที่กิรนาเข้ามาทำงานที่นี่คือคีรตินั่นเอง
คีรติพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้เล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เขาเลือกที่จะตัดบทเดินออกไป เพราะรู้ว่าหากยังอยู่ที่ห้องต่อ จะมีเรื่องราวขอร้องไม่หยุด โดยยกข้ออ้างของความเป็นลุง
