บทที่ 1 : ปลายฟ้า
เสียงจอแจในห้องเรียน ม.1/4 ดังระงมไม่ต่างจากตลาดสดยามเช้า คาบเรียนสุขศึกษาในบ่ายวันศุกร์ที่ไร้เงาของคุณครูผู้สอนเปรียบเสมือนสวรรค์ของเด็กนักเรียนหลังห้อง พัดลมเพดานสามตัวที่หมุนเอื่อยๆ ทำได้เพียงแค่กวนอากาศร้อนอบอ้าวให้วนเวียนอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นตามองศาของดวงอาทิตย์เท่ากับความสนุกตรงหน้า
ยกเว้นเด็กชายเจ้าของชื่อ ‘สายลม’ ที่กำลังมีความสุขอยู่กับการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกของตัวเอง
ธนพล วัฒนกุล หรือ ‘สายลม’ กำลังก้มตัวลงต่ำอย่างมีเลศนัย มือเรียวตามประสาเด็กหนุ่มที่กำลังจะแตกพานค่อยๆ บรรจงผูกเชือกรองเท้านักเรียนหญิงสีขาวสะอาดของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่โต๊ะข้างหน้าเข้ากับขาโต๊ะเหล็กอย่างเงียบกริบ ริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ดวงตาเรียวคมที่ซ่อนความทะเล้นไว้เต็มเปี่ยมเหลือบมอง ‘ปลายฟ้า’ ที่กำลังตั้งอกตั้งใจเม้าท์มอยกับเพื่อนผู้หญิงอีกสองสามคนเรื่องรุ่นพี่นักบาสสุดเท่ โดยไม่ได้รับรู้ถึงชะตากรรมของตัวเองในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้เลย
“นี่ๆ แล้วพี่เขาก็ชู้ตลงแบบนี้นะ!” ปลายฟ้าทำท่าประกอบอย่างออกรสชาติ “อย่างเท่เลยอะแก”
สายลมแอบหัวเราะในลำคอ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของเด็กชายวัยสิบสองที่เริ่มสูงกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันไปพอสมควร เขาแกล้งทำเป็นบิดขี้เกียจเสียงดัง ยกแขนขึ้นสุดแล้วหาวหวอดใหญ่ๆ
“โอ๊ยยย เบื่อโว้ย! ไปหาไรเล่นกันดีกว่า!” เขาตะโกนเรียก ‘หมอก’ กับ ‘เมฆ’ สองเพื่อนซี้ที่นั่งอยู่แถวหลังสุด
“เอาดิ!” หมอกตอบรับทันควันเหมือนรอสัญญาณอยู่แล้ว ในขณะที่เมฆเพียงแค่ถอนหายใจยาวๆ แล้วส่ายหัวอย่างระอา แต่ก็ยอมลุกจากที่นั่งตามมาแต่โดยดี
“ไปไหนอะนายลม?” เสียงใสๆ ของปลายฟ้าดังขึ้นจากโต๊ะข้างหน้า เธอหันขวับมามองตามสัญชาตญาณ
“ไปเตะบอลเว้ย ยัยตัวเล็ก สนใจปะล่ะ?” สายลมยักคิ้วกวนประสาทตามสไตล์
ปลายฟ้าเบะปากใส่ “ไม่เอาอะ ร้อนจะตาย ไปดีๆ นะ” เธอโบกมือไล่ ก่อนจะหันกลับไปเตรียมเก็บของใส่กระเป๋า เพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว
“โอเคคคค ไปก็ได้” สายลมลากเสียงยาว ก่อนจะส่งซิกให้หมอกกับเมฆเดินนำไปก่อน เขารอดูผลงานของตัวเองด้วยใจระทึก
หนึ่ง... สอง... สาม...
ปลายฟ้าลุกขึ้นยืน... และ...
พรึ่บ!
“โอ๊ย!”
เสียงหวานๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อขาข้างขวาของเธอถูกกระตุกกลับไปอย่างแรงจนเกือบจะหน้าคะมำ โชคดีที่เธอยังทรงตัวไว้ได้ทัน ร่างเล็กในชุดนักเรียนมัธยมต้นเซถอยหลังไปชนกับโต๊ะตัวเอง ดวงตากลมโตที่เคยสดใสเป็นประกายเบิกกว้าง ก่อนจะก้มลงมองที่ต้นเหตุ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าเชือกรองเท้าของตัวเองถูกผูกติดกับขาโต๊ะอย่างแน่นหนา
เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากทางประตูห้องเรียน
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!”
สายลมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจจนตัวงอ มือข้างหนึ่งชี้มาที่ปลายฟ้าที่กำลังยืนหน้ามุ่ยแก้มป่อง “เป็นไงล่ะยัยตัวเล็ก! วิ่งไล่ไม่ทันหรอกเฟ้ย! ฮ่าๆๆๆ”
“นายลม!!!”
เสียงแหลมปรี๊ดของปลายฟ้ากรีดร้องชื่อตัวการ ก่อนที่เธอจะรีบก้มลงไปแกะปมเชือกรองเท้าอย่างทุลักทุเล ความโกรธผสมกับความอายทำให้ใบหน้ารูปไข่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ผมยาวประบ่าที่มัดรวบไว้หลวมๆ ดูยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก
“ฝีมือแกอีกแล้วเหรอวะสายลม” หมอกที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะตามไปด้วย “แกล้งเบาๆ หน่อยดิ เดี๋ยวปลายฟ้าฟ้องครูนะเว้ย!”
“เดี๋ยวก็โดนทำโทษทั้งคู่หรอก” เมฆพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งตามฉบับ แต่สายตากลับฉายแววขบขันเล็กน้อย
ในที่สุดปลายฟ้าก็แกะเชือกเจ้าปัญหาสำเร็จ เธอเงยหน้าขึ้นมาแยกเขี้ยวใส่เจ้าเพื่อนตัวดีที่ยังคงยืนหัวเราะไม่หยุด
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ผมฉันยุ่งหมดแล้ว!” เธอวิ่งไล่ตามสายลมที่เผ่นแผล็วออกไปนอกห้องเรียนทันที กลายเป็นภาพชินตาของเพื่อนๆ ในห้อง ม.1/4 ที่มักจะเห็น ‘ปลาท่องโก๋’ คู่นี้วิ่งไล่กันเป็นประจำ
ถึงจะดูเหมือนเป็นคู่ปรับกันตลอดเวลา แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าสายลมกับปลายฟ้าเป็นเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันมากที่สุดในห้อง ทั้งคู่รู้จักกันมาตั้งแต่ชั้นประถม ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนบ้าน ก่อนจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมห้อง และเพื่อนสนิทที่ขาดกันไม่ได้ในที่สุด
กิจวัตรประจำวันของ ‘ทั้งสองคน’ มักจะเต็มไปด้วยเรื่องราวป่วนๆ แบบนี้เสมอ
หลังจากการวิ่งไล่จับที่จบลงด้วยการที่ปลายฟ้าไล่ไม่ทันและทำได้เพียงแค่ยืนหอบแฮ่กๆ อยู่กลางสนาม สายลมก็เดินยิ้มหน้าทะเล้นกลับมาหาเธอ
“เหนื่อยเหรอ? บอกแล้วว่าไล่ไม่ทัน”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ปลายฟ้าชี้หน้าคาดโทษ “แล้วนี่กระเป๋าฉันอยู่ไหน?”
สายลมพยักหน้าไปทางม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่ซึ่งกระเป๋าเป้สีชมพูพาสเทลของปลายฟ้าวางอยู่ข้างๆ กระเป๋าสีดำทะมึนของเขา “แบกมาให้แล้วนั่นไง ไม่เห็นเหรอ?”
ปลายฟ้าเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองมาสะพาย ก่อนจะเหลือบไปเห็นสมุดการบ้านวิชาวิทยาศาสตร์ที่วางอยู่บนสุด “นายลม... นายยังไม่ได้ทำการบ้านวิทย์ใช่ไหม?”
สายลมหันมาทำหน้าแหยๆ “แหะๆ... ก็เมื่อคืนมัวแต่เล่นเกมนี่หว่า... นี่ๆ ขอลอกหน่อยดิ ไม่มีเวลาทำแล้ว”
“ไม่ให้ลอกหรอก! ไปทำเองเลย!” ปลายฟ้ากอดอกเชิดหน้าใส่ แต่พอเห็นสายลมทำหน้าหงอยเหมือนลูกหมาโดนทิ้ง เธอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ก็ได้ๆ แต่คราวหน้าต้องทำเองนะ!” ว่าแล้วก็เปิดกระเป๋าหยิบสมุดของตัวเองออกมา แล้วแอบเปิดหน้าที่เป็นเฉลยคำตอบวางแผ่ไว้บนโต๊ะแบบเนียนๆ “รีบๆ ลอกล่ะ”
สายลมยิ้มกว้างทันที “สุดยอดเลยเพื่อนรัก!” เขานั่งลงข้างๆ แล้วรีบก้มหน้าก้มตาลอกการบ้านอย่างรวดเร็ว ปลายฟ้านั่งมองเพื่อนสนิทที่กำลังตั้งใจ... เอ่อ... ตั้งใจลอกการบ้านของเธอแล้วก็อดส่ายหัวเบาๆ ไม่ได้
ถึงจะขี้แกล้ง กวนประสาท และขี้เกียจเรื่องเรียนไปบ้าง แต่สายลมก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอเสมอ เวลาเธอโดนแกล้ง เขาก็จะเป็นคนแรกที่ออกโรงปกป้อง เวลาเธอทำของหาย เขาก็จะเป็นคนช่วยหาจนเจอ และทุกครั้งหลังเลิกเรียน เขาก็จะเป็นคนแบกกระเป๋านักเรียนที่หนักอึ้งให้เธอเสมอ... ถึงแม้บางทีจะเอาไปโยนเล่นจนเธอต้องร้องโวยวายก็เถอะ
ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งลอกการบ้านเสร็จ แสงแดดเริ่มอ่อนแรงลง สายลมเอนหลังพิงพนักม้านั่งอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาเรียวคมของเขาเหม่อมองไปยังกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่กำลังเล่นกระโดดยางอยู่ไม่ไกล แต่สายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของปลายฟ้าที่กำลังอมยิ้มมองตามเพื่อนๆ อย่างมีความสุข
รอยยิ้มของเธอสดใสเหมือนท้องฟ้าในวันที่อากาศดี ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ แสงแดดยามบ่ายที่ส่องกระทบลงมาทำให้ผมของเธอกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ดูนุ่มสลวย
จู่ๆ สายลมก็รู้สึกถึงความรู้สึกอุ่นวาบที่ก่อตัวขึ้นในใจอย่างเงียบๆ มันเป็นความรู้สึกที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่าเวลาเห็นปลายฟ้ายิ้ม... เขาก็มีความสุข
...ถ้าเราบอกความรู้สึกนี้ไป... ยัยนี่จะโกรธไหมนะ?
ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัว
...แล้วถ้าเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมล่ะ? จะทำยังไงวะ?
สายลมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้งไป
เป็นเพื่อนกันแบบนี้ก็ดีแล้วมั้ง? เขาบอกกับตัวเองในใจ กวนประสาทกันไปวันๆ แบบนี้แหละ สนุกดีออก
“มองอะไรของนาย?” ปลายฟ้าหันมาถามเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้อง
“เปล่าซะหน่อย!” สายลมรีบปฏิเสธเสียงสูง “แค่คิดว่า... เย็นนี้จะกินอะไรดี”
“คิดถึงแต่เรื่องกินตลอดเลยนะนายเนี่ย” ปลายฟ้าบ่นอุบอิบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “กลับบ้านกันได้แล้ว เดี๋ยวแม่ฉันบ่น”
“เออๆ” สายลมลุกขึ้นตาม คว้ากระเป๋าของตัวเองมาสะพายหลัง แล้วก็ฉวยเอากระเป๋าของปลายฟ้ามาถือไว้ในมืออีกข้างอย่างเป็นธรรมชาติ “ไปดิ”
ระหว่างทางกลับบ้านที่คุ้นเคย ทั้งสองคนยังคงเถียงกันเรื่องไร้สาระไปตลอดทางเหมือนทุกวัน เสียงหัวเราะและเสียงโวยวายของทั้งคู่ดังสลับกันไปมาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศยามเย็นในหมู่บ้านแห่งนี้
แต่สิ่งที่ปลายฟ้าไม่เคยรู้เลยก็คือ...
ในเช้าวันจันทร์ถัดมา ทันทีที่เธอเปิดลิ้นชักโต๊ะเรียนของตัวเอง ก็พบกับขนมปังเนยสดเจ้าอร่อยจากร้านเบเกอรี่หน้าปากซอยวางอยู่หนึ่งชิ้น... ขนมที่เธอชอบมากที่สุด
ปลายฟ้ามองซ้ายมองขวาด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของ เธอจึงหยิบมันขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาของใครบางคนที่แอบมองมาจากมุมหนึ่งของห้อง...
สายลมยืนพิงกำแพงอยู่ห่างๆ แกล้งทำเป็นคุยกับหมอกอย่างออกรส แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่รอยยิ้มของปลายฟ้าไม่วางตา
เมื่อเห็นว่าเธอมีความสุข เขาก็เผลอยิ้มออกมาคนเดียวอย่างไม่รู้ตัว... รอยยิ้มที่อ่อนโยนและจริงใจ ซึ่งแตกต่างจากรอยยิ้มกวนประสาทที่เขามักจะแสดงให้ใครต่อใครเห็นโดยสิ้นเชิง