บทนำ (1)
ณ นครเนราเซีย
นครสีทรายอันอุดมสมบูรณ์เจริญรุ่งเรืองด้วยวัฒนธรรมซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใต้อ้อมกอดของหุบเขาน้อยใหญ่ยาวเหยียดสุดสายตา และตระหง่านบนหน้าผาเหนือผืนทรายสีทอง...
เสียงจอแจจับประเด็นไม่ได้ของบรรดาพ่อค้าวานิชยังดังไม่ขาดสาย ตลาดใหญ่แห่งนี้จึงคึกคักทุกวัน ด้วยว่าที่นี่เป็นจุดศูนย์รวมของพ่อค้าวานิชจากต่างนคร
ทุกๆ วันจะมีผู้คนจากทั่วสารทิศ แต่งกายหลายหลากจากต่างวัฒนธรรมเข้ามาจับจ่ายใช้สอย แลกเปลี่ยนเสบียงอาหาร ซึ่งรวมไปถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนพาหนะสำคัญสำหรับเดินทางไกลในท้องทะเลทรายแห้งแล้งอย่างอูฐตัวโตที่มีให้เห็นทั้งวันอีกด้วย
บรรยากาศในช่องว่างของหุบเขาจึงแน่นไปด้วยบรรดาพ่อค้าคาราวานเร่ อันรวมถึงนักเดินทางซึ่งมาจากต่างถิ่น เหล่าคาราวานเร่ และหนึ่งในนั้นคือสมาชิกของตระกูล ‘อัลบาร์จา’ ผู้มีชื่อเสียงในเรื่องการแกะสลักบานกระจกเงาอีกด้วย
ดรุณีแรกรุ่นในวัยสิบสามปีมีดวงตางดงามประหนึ่งน้ำผึ้งสวมผ้าคลุมศีรษะสีฟ้าสด ไม่สวมผ้าคลุมหน้าเหมือนพี่สาวยิ้มสดใสกับภาพตื่นตาตื่นใจที่เห็น แลแสงแดดในยามนี้จึงทำให้ผิวแก้มขาวเนียนนั้นแดงปลั่งขึ้นมาราวกับสีผิวของผลทับทิมที่สุกแล้ว
“โอ้โหท่านพี่ซีร่า ที่นี่มีแต่สินค้าน่าซื้อหาทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” ดรุณีตัวน้อยทำตาโตอย่างตื่นเต้นเมื่อมีโอกาสมาเหยียบตลาดหน้านครเนราเซียเป็นครั้งแรก
คนพามาเยือน ซึ่งอยู่ในชุดผ้าคลุมสีชมพูหวาน และมีองครักษ์ยูนุก ติดตาม สวมผ้าคลุมหน้าปิดบังรูปโฉมยิ้มผ่านดวงตาคู่สวยคมหวาน “เจ้าปรารถนาสิ่งใดเลือกได้ตามใจชอบได้เลยนะซาเดน่า”
“ทุกสิ่งเลยหรือเจ้าคะ?”
ซีร่าพยักหน้าช้า ๆ ให้น้องสาว “ใช่ ทุกสิ่ง”
พอได้รับอนุญาตจากพี่สาวเช่นนั้นวงหน้างดงามของดรุณีตัวน้อยจึงเปื้อนรอยยิ้มมากกว่าเดิม นางงามตัวน้อยรีบจูงมือพี่สาวเดินผ่านผู้คน แวะตามร้านขายเครื่องประดับริมทางเพื่อมองหาเครื่องประดับถูกใจ นางแวะร้านขายตุ๊กตาไม้แกะสลัก จากนั้นจึงจูงซีร่าไปยังท้ายรถคาราวานของชาวยิปซีเร่ร่อนซึ่งมีนางระบำสวมชุดสีเขียวปีกแมลงทับกำลังเต้นยักย้ายส่ายสะโพกเรียกสายตาลูกค้า
หาใช่เสียงกลองจังหวะสนุกชวนให้ขยับร่างกายตามไป แต่ที่เรียกความสนใจจากซาเดน่าได้ เห็นจะเป็นเครื่องประดับลวดลายแปลก ๆ จากชาวยิปซีต่างหาก
บนแผงท้ายรถม้าซึ่งปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำมีเครื่องประดับวางเรียงไว้มากมาย ลูกแก้วใสหลากสีรูปร่างบิดเบี้ยวถูกนำมาร้อยเป็นสร้อยคอดูงดงามอย่างลงตัว ไข่มุกเม็ดเล็กกลมวาวประเมินมูลค่าไม่ได้ถูกดัดแปลงให้เป็นตุ้มหูพวงระย้า หรือแม้แต่ปะการังแห้งที่ถูกนำมาดัดเป็นวงกำไลมือ เครื่องประดับทุกชิ้นจากชาวยิปซีเร่ร่อนจึงทรงคุณค่าสำหรับซาเดน่าเสมอ...
ดวงตากลมโตสีน้ำผึ้งหวานเป็นประกายอย่างชื่นชอบเมื่อเห็นเครื่องประดับแสนสวยพวกนี้ ก่อนสะดุดสายตาเข้ากับสินค้า ‘แปลก’ ซึ่งไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน เป็นหีบขนาดเล็กเหมาะสำหรับใส่ของจุกจิกจำพวกเครื่องประดับ
ตัวหีบฉลุลวดลายดอกไม้ไว้อ่อนช้อย ประดับด้วยเม็ดพลอยสีม่วงเม็ดโต ไม่เพียงแค่ความสวยที่ลงตัวเท่านั้น แต่ยังมีเสียงดนตรีแสนไพเราะเบา ๆ ออกจากหีบวิเศษนี้ด้วย พอชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ซาเดน่าจึงเห็นภาพของนางงามตัวน้อยสวมผ้าคลุมศีรษะสีฟ้าสดใสบนกระจกเงาขนาดเล็ก
“โอ้!” ดรุณีตัวน้อยอุทานอย่างตื่นเต้นพลางเอามือทาบอก แล้วขยับตัวห่างออกมาพอตั้งหลัก จากนั้นจึงชะโงกหน้ากลับเข้าไปใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยมีเสียงหัวเราะของพ่อค้าชาวยิปซีดังอยู่ข้าง ๆ
“เวทมนตร์อันใดรึเจ้าคะ หีบน้อยใบนี้จึงขับขานบทเพลงแสนไพเราะได้” ซาเดน่าเอียงคอสงสัย และคำถามจากความไม่รู้นี้เองที่สร้างรอยยิ้มให้กับพ่อค้าชาวยิปซี
“จะเรียกว่าเวทมนตร์ก็ย่อมได้นะแม่หนูน้อย แต่คนบนแผ่นดินฟากโน้น... เขาเรียกหีบดนตรี”
ไม่รู้ว่า ‘เขา’ คนไหน แต่คำตอบที่ได้รับจากพ่อค้าชาวยิปซีก็สร้างความพอใจให้ซาเดน่ามากนัก และชื่อที่ถูกเอ่ยขานช่างเหมาะเจาะกับสิ่งของชิ้นนี้ซะเหลือเกิน
“หีบดนตรี...” ซาเดน่าทวนคำเบา ๆ เพื่อจดจำนามของสิ่งวิเศษนี้ไว้
“ใช่ ข้านำสิ่งนี้มาจากดินแดนไกลโพ้น” พ่อค้าชาวยิปซีซึ่งแต่งกายรุ่มร่ามดูลึกลับอธิบายเพิ่มเติม
“ว้าว” คราวนี้ดวงตาสีน้ำผึ้งเป็นประกายวาววับด้วยความสนใจมากกว่าเดิม แต่แล้วคำถามจากความไม่รู้ก็เกิดขึ้นอีก “แล้วดินแดนไกลโพ้นอยู่ไหนเจ้าคะ ไกลจากผืนทรายแห่งนี้มากไหม เอ่อ ข้าหมายถึงว่าไกลจากบ้านของข้ามากไหม?”
มีรอยยิ้มด้วยความเอ็นดูจากพ่อค้าชาวยิปซีส่งมาให้แม่หนูน้อยที่ช่างซัก ช่างถาม ช่างสงสัย พ่อค้าสูงวัยจึงก้มตัวลงมาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่ได้ยินกันสองคน
