ตอนที่5.
“คุณเมธาวี”
หญิงสาวค่อยๆรู้สึกตัว ....ช่างเป็นการทำลายความฝันอันแสนหวานของเธอ ในใจของเธอตอนนี้...เจ้าชายของเธอกำลังเปิดยิ้มแล้วดึงตัวเธอเข้าไปในอ้อมกอด ดวงตาของเขาสุกสว่างยิ่งกว่าเพชรเม็ดใดที่เธอเคยเห็นมา ภาพนั้นขโมยลมหายใจของเธอไป ชายหนุ่มรวบตัวเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วอุ้มขึ้น แขนของเขาช่างเหมือนกับเก้าอี้เหล็กที่แข็งแกร่ง เธอไม่เคยรู้สึกปลอดภัยที่สุดแบบนี้มาก่อน ดวงตาสีดำคู่นั้นเต็มไปด้วยคำสัญญา ริมฝีปากได้รูปเผยรอยยิ้มเหมือนกับจะรู้ นั่นทำให้เมธาวีปรารถนาที่จะจุมพิตเขาเหลือเกินจังหวะหัวใจของเขาเต้นอย่างสม่ำเสมอ แขนทั้งสองข้างของเขาโอบอุ้มเธอไว้แนบอก ขณะที่เดินไปบนผืนทรายอันอบอุ่น คิ้วเข้มของเมธาวีขมวดเข้าหากัน ขณะที่สัมผัสถึงหยดน้ำที่ใบหน้ากับลำตัว... มีฝนในทะเลทรายด้วยหรือ...
หญิงสาวหันไปมองโดยสัญชาติญาณ เผลอซุกใบหน้าเข้ากับร่างของเขา เสื้อผ้าของเขาชุ่มโชกไปด้วยน้ำ
เมื่อเมธาวีลืมตาก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มผู้นั้น ขณะที่เขาเดินฝ่าพายุที่กำลังพัดกระหน่ำ หญิงสาวสะดุ้งกับลมแรงที่ปะทะเข้ามา
แสงสว่างสาดมาจากระเบียงบ้านแบบคลาสสิก แสงอุ่นๆส่องผ่านกระจกครึ่งวงกลมที่อยู่เหนือประตู แล้วทุกอย่างก็เหมือนภาพที่ฉายซ้ำเข้ามาเป็นลำดับก่อนที่เธอจะมาที่นี่
มาร์คัส...การเดินทางไกล และการกลับบ้านพร้อมกับคนแปลกหน้าต่างถิ่น
ตอนนี้ ทั้งสองกำลังอยู่ในบ้านทัลลาวันตา
“วางฉันลงได้แล้วค่ะ” เมธาวีเอ่ยขึ้น
“เราเกือบจะถึงบ้านแล้ว” เมื่อเขาก้าวเข้าไปใต้ชายคา สายฝนที่เคยซัดกระหน่ำลงบนตัวเธอราวเข็มนับพันเล่มที่กำลังทิ่มแทงก็พลันหายไปทันที
ชายหนุ่มผลักประตูหน้าบ้านเข้าไปโดยไม่พูดไม่จา พร้อมกับกระชับร่างของหญิงสาวเข้าหาตัว เมธาวีพึมพำคำพูดบางอย่างกับแผ่นอกของเขาด้วยความถวิลหา การได้อยู่ที่นี่กับเขาโดยมีร่างกายอันอบอุ่นของเขาแนบชิดแบบนี้ มันเป็นยิ่งกว่าความตื่นเต้นที่ไม่อาจอธิบายได้
หญิงสาวหลับตาแน่น... นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นเรื่องจริง เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด เหมือนจะลอยได้เสียด้วยซ้ำ เมธาวีหันศีรษะไปซบกับไหล่ของเขาอีกครั้ง
คาลิด...นั่นคือชื่อของเขา เธอชอบชื่อนี้ เธอเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
สักพัก แขนที่แข็งแกร่งของเขาก็ลดร่างของเธอลงเพื่อให้เธอได้ยืนบนพื้น แต่การเปลี่ยนท่าทันทีทันใดนั้น ทำให้เธอเสียสมดุลไปได้ไม่ยากนัก
“ตอนนี้” เขาพูดเสียงเรียบ “ถึงเวลาที่คุณจะต้องถอดเสื้อออกแล้ว”
“อะไรนะคะ”
ท่ามกลางแสงไฟสว่างภายในห้อง ชายหนุ่มพบนัยน์ตาที่ชวนให้ตกตะลึง
มือที่สั่นเทาทั้งสองข้าง ยกขึ้นแตะหน้าอกของเขา
“ไม่...ไม่ค่ะ”
คาลิดเม้มริมฝีปากแน่น ขณะมองเธอที่ยังคงเหลือแรงต่อสู้เพียงเล็กน้อย หรือมีใครบางคนคิดที่จะรังแกเธอในคืนนี้งั้นหรือ ความคิดนั้นทำให้เลือดในกายของเขาร้อนขึ้นมา
“ผมหมายความว่า คุณต้องถอดเสื้อผ้าที่เปียกปอนพวกนั้นออก”
“แต่ไม่ใช่ตอนที่มีคุณจ้องอยู่แบบนี้หรอกนะ” แก้มของเธอแดงระเรื่อขึ้นบนใบหน้าชัดเจน ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ใกล้ชิดผู้หญิง เมื่อไหร่กันนะ...เขานึก
“รับรอง ผมไม่สนใจจะมองคุณหรอก ก็แค่ไม่อยากให้คุณเป็นหวัดไปเสียก่อน”
ตอนนี้ ใบหน้าของเธอกลายเป็นสีกุหลาบเข้ม เธอรีบก้มหน้าเพื่อหลบตาเขา กัดริมฝีปากล่างเพราะความรู้สึกประดักประเดิด
“ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ ไม่ต้องให้คุณช่วยหรอก” เธอพึมพำ
คาลิดมักจะเชื่อในสองสิ่ง นั่นคือสัญชาติญาณและหน้าที่
เมื่อหลายปีก่อน ในวันที่เศร้าโศกที่สุดหลังจากการตายของชาฮีน่า มีเพียงหน้าที่เท่านั้นที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ชายหนุ่มต้องแบกความรับผิดชอบที่มีต่อประชาชนของเขา จุดมุ่งหมายเหล่านั้นได้คืนความเข้มแข็งให้กับเขา เมื่อชายหนุ่มต้องการลืมโลกและความเศร้าโศกในการจากไปของภรรยา
เช่นเดียวกัน...ตอนนี้ เขาเหลือเพียงสัญชาติญาณและหน้าที่เท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น ผมควรที่จะทิ้งคุณไว้ท่ามกลางพายุด้านนอกอย่างนั้นหรือ”
