ตอนที่ 7 ปราการด่านสุดท้าย
ตอนที่ 7
ปราการด่านสุดท้าย
"รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ
"หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล
อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น
"ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
"เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน
"คุณหนูบ่าวขอไปกับท่านเถิดนะเจ้าคะ ห่างกับคุณหนูเช่นนี้บ่าวต้องเป็นห่วงท่านจนอกแตกตายแน่" เสี่ยวหนิงอ้อนวอนทั้งน้ำตา นางไม่อยากแยกกับคุณหนูของนาง อีกทั้งยังกลัวว่าทั้งคุณหนูและพี่ชายของนางจะเกิดเรื่องอีกด้วย
"เสี่ยวหนิง ทำตามที่ข้าสั่ง พวกเรายิ่งไปด้วยกันเยอะโอกาสรอดยิ่งน้อง แต่หากแยกกันไปเช่นนี้ย่อมจะต้องดีกว่าแน่" นางเอ่ยกับสาวใช้ของตนอย่างอีกครั้ง ก่อนจะพาเสี่ยวหนิงมาส่งที่รถม้าด้วยตัวนางเอง
"คุณหนู..."
"เสี่ยวหนิง จำไว้เจ้าต้องรีบไปให้ไกลที่สุด ห้ามเหลียวกลับมามองอีกเป็นอันขาด"
"คุณหนู..."
"ไป...รีบไปซะเสี่ยวหนิง" นางเอ่ยออกมาอีกครั้งพลางส่งยิ้มกว้างไปให้สาวใช้คนสนิทของตนอย่างต้องการปลอบโยน
"เสี่ยวหนิง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องตามคนมาช่วยพวกเราได้แน่" คำพูดสุดท้ายของหลิวซือนัวถูกเอ่ยฝากไปกับสายลม
นางหันไปมองรถม้าที่เพิ่งจะเคลื่อนตัวออกไป เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปสมทบกับพวกของนางที่ยังเหลืออยู่
กู่หรูขึ้นม้าแล้ว คุณชายของนางก็เช่นเดียวกัน แม้บุรุษร่างกายซีดเซียวบนม้ามองดูแล้วเหมือนกับว่าพร้อมที่จะตกลงมาจากบนหลังม้าได้ทุกเมื่อ และถ้าหากระหว่างทางเกิดตกลงไปจริง ๆ ก็คงจะเจ็บไม่เบาทีเดียวอาจจะถึงขั้นกระดูกหักสักสองสามท่อนได้
หลิวซือนัวยังจำได้ดีถึงคำพูดของกู่เหอว่าอาการของคุณชายอวี้ของพวกเขาไม่เหมาะที่จะเกิดการกระทบกระเทือนหนัก ความจริงแล้วไม่ควรขี่ม้าด้วยซ้ำ นางรู้ดีแต่เวลานี้ม้าคือวิธีเดียวที่จะพาพวกนางไปจากที่นี่ได้
ขี่ม้าเป็นวิธีเดียวที่พวกนางจะมีโอกาสรอดจากภัยนี้ได้ แม้โอกาสจะน้อยเต็มทีก็ตาม แต่หลิวซือนัวก็จะขอเสี่ยงดวงไปกับโอกาสน้อยนิดนี้
เจ้าของใบหน้าอวบอิ่มเดินเข้าไปหาเสี่ยวชิงที่ถือเชือกจูงม้าสองตัวเอาไว้ ซึ่งตัวหนึ่งย่อมเป็นของเขา อีกตัวหนึ่งก็คือของนาง
กู่หรู เสี่ยวชิง คุณชายอวี้ และนาง พวกเราทั้งสี่คนย่อมต้องใช้ม้าถึงสี่ตัว ส่วนม้าที่เหลือนางได้สั่งให้เสี่ยวชิงปล่อยไปแล้ว
"ข้าจะขี่ม้าตัวเดียวกันกับคุณชายอวี้ ระหว่างทางพวกเจ้าสองคนจะได้คุ้มกันพวกเราได้ง่ายขึ้น" นางเอ่ยขึ้นก่อนจะให้เสี่ยวชิงช่วยนางขึ้นมาตัวเดียวกับคุณชายอวี้ได้สำเร็จ
นางชิงเป็นคนควบคุมม้าเองและให้คุณชายอวี้นั่งซ้อนด้านหลังนางเอาไว้แทน
"เสี่ยวชิง ส่งเชือกมาให้ข้า"
"เชือกขอรับ" แม้จะไม่เข้าใจนักว่าคุณหนูสั่งให้เขานำเชือกไปให้ทำไม แต่ตนก็หยิบเชือกที่กองอยู่ที่พื้นใกล้ ๆ ส่งให้ไปตามคำสั่ง
"มัดติดกันเอาไว้จะได้ไม่พลัดตกม้าลงไป" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นหลังจากที่นางลงมือมัดเชือกที่ลำตัวคุณชายอวี้กับนางติดเอาไว้ด้วยกัน
"คุณหนูหลิว หรือไม่ก็ให้ข้าน้อยขี่ม้าตัวเดียวกันกับคุณชายเองจะดีกว่าหรือไม่" กู่หรูเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าคุณชายของนางถูกมัดติดเอาไว้กับตัวคุณหนูหลิว เกรงว่าคุณชายของนางจะอึดอัดและไม่พอใจ อีกทั้งนางนั้นกลัวว่าคุณชายของนางจะเป็นอันตรายด้วย มิสู้ให้ขี่มาไปกับนางแทน เช่นนี้นางจึงจะได้ระวังได้ถูก
"เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว พวกข้าอยู่ตรงกลาง พวกเจ้าสองคนเป็นวรยุทธ์คอยป้องกันอยู่ซ้ายขวาจะดีกว่า หากเจ้าเป็นคนพาเขาไปเองเกรงว่าจะต่อสู้ไม่สะดวก" หลิวซือนัวเอ่ยต่อ
"แต่..." กู่หรูไม่เห็นด้วย ยังไงนางก็อยากจะคุ้มกันคุณชายของนางเองจึงตั้งใจจะเอ่ยขัดอีกครั้ง
"กู่หรู ทำตามที่คุณหนูหลิวสั่ง" เจ้าของน้ำเสียงไร้เรียวแรงเอ่ยขึ้น เขามองตรงไปที่ผู้ติดตามหญิงของตนด้วยสายตานิ่งเฉย
แม้ว่าที่ดวงตาของคุณชายของนางจะมีผ้าคาดปิดเอาไว้แต่กู่หรูก็สามารถจดจำได้ดีว่าสายตาของคุณชายที่กำลังมองมาจะต้องเป็นเช่นไร กู่หรูจึงได้ยอมทำตามที่คุณหนูหลิวสั่งแต่โดยดีไม่คิดค้านขึ้นอีก
เขานิ่งเฉยรอดูเหตุการณ์เงียบๆอยู่นานโดยไม่ได้เสนอความคิดเห็นใดๆ จนกระทั่งเวลานี้เขาเริ่มรู้สึกว่าพิษในร่างกายของตนนั้นเริ่มจะกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินยาที่กู่เหอให้ไปได้ไม่นาน
อวี้หนานไห่คาดว่ายาที่ต้มที่นี่จะต้องมีปัญญาแน่ ดังนั้นก่อนที่อาการจะกำเริ่มจนเขาทนไม่ไหวหากจะหนีก็ต้องรีบไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ไม่อาจมัวแต่เสียเวลาได้อีก
ในเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว พวกนางก็เตรียมตัวจะออกเดินทางกันทันที เสียงโห่ร้องที่ดังมาจากด้านหน้าทำให้พวกเขารีบกระตุกส่ายบังคับม้าให้ออกวิ่งทันที
เสี่ยวชิงคือผู้ที่ควบม้าออกมาเป็นคนสุดท้าย เพราะต้องเป็นผู้จุดไฟเผาโรงเตี้ยมแห้งนี้ซะก่อน
ทันทีที่คบเพลิงในมือชายหนุ่มถูกโยนเข้าไปยังกองฟางที่กองสุมกันอยู่ชิดกับตัวโรงเตี้ยม ไฟก็รุกไหม้กองฟางทันที
แน่นอนว่าคนที่สั่งให้เขาเผาโรงเตี้ยมแห่งนี้ไปซะหาใช่ใครอื่น แต่เป็นคุณหนูหลิวซือนัว คุณหนูของเขานั่นเอง
คุณหนูสั่งให้เขาเผาโรงเตี้ยมนี้ซะภายหน้าจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้กับผู้โชคร้ายคนอื่นอีก ส่วนสองตายาคุณหนูก็สั่งให้เขากับกู่หรูพาไปมัดไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ห่างจากโรงเตี้ยมพอสมควร ไกลพอที่ไฟจะไม่ลามไปถึงพวกเขาทั้งสองได้
อีกทั้งเผาโรงเตี้ยมก็จะทำให้เกิดควันจากการเผาไหม้จำนวนมาก แน่นอนว่ามันน่าจะมากพอให้ที่นี่กลายเป็นจุดสังเกต และเมื่อเป็นจุดสังเกตก็จะดึงดูดคนของทางการให้เข้ามาตรวจสอบดู ที่นี้คนของทางการก็อาจจะได้พบกับเสี่ยวหนิงเร็วขึ้นอีก เมื่อรับรู้สถานการณ์ของพวกนางจากเสี่ยวหนิงแล้วก็คงจะรีบรุดตามมาให้ความช่วยเหลือพวกเราแน่
จู่ ๆ ไฟก็ไหม้โรงเตี้ยม แน่นอนว่าพวกโจรที่แห่กันเข้ามาต่างก็พากันตื่นตระหนก พวกมันพากันวิ่งออกห่างจากมาจากตัวโรงเตี้ยมทันที
ลู่ข่ง บุรุษร่างยักษ์ เจ้าของแผลเป็นยาวบนใบหน้า ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าโจรมองตามหลังกลุ่มคนที่ขี่ม้าออกไปอย่างโกรธแค้น ที่แผนการปล้นของตนถูกทำลายจนไม่เหลือท่า
"ไป ตามพวกมันไป ตามไปฆ่าพวกมันให้หมด!!!" โจรเหี้ยมตะโกนสั่งลูกน้องตน ด้วยความโกรธเกรี้ยว
ทันทีที่เสียงตะโกนดังออกมา ลูกสมุนโจรเดนตายก็กระโจนพุ่งตัวตามไปยังทางที่หัวหน้าตนบอกทันที พวกมันนับสิบตามไปอย่างไม่คิดชีวิต ฝีเท้าแต่ละคนว่องไวกว่าคนทั่วไปนัก พวกมันแทบไม่ต่างกับนักฆ่ามืออาชีพเลยด้วยซ้ำ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือพวกมันนี่แหละคือ นักฆ่า มืออาชีพที่แท้จริง
เสียงโห่ร้องรวมไปถึงเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาทำให้พวกหลิวซือนัวยิ่งมุ่งไปข้างหน้า
โชคดีที่พวกโจรยังตามพวกนางมาได้ไม่ประชิดตัว อีกอย่างพวกมันต่างก็ใช้แรงเท้าวิ่ง อย่างไรก็สู้ฝีเท้าม้าไม่ได้ ตามมาสักพักก็คงหมดแรงเลิกวิ่งตามกันไปเอง
คิดไปถึงเช่นนั้นพวกนางก็เริ่มที่จะเบาใจได้บ้างแล้ว แต่แล้วความคิดที่วาดฝันเอาไว้ก็ถูกทำลายลงเมื่อจู่ ๆ พวกที่วิ่งตามในตอนแรกก็ถูกแทนที่ด้วยพวกมันที่ขี่ม้าแทน จากที่หันไปมองเห็นด้วยสายตา พวกที่ขี่ม้าตามมามีไม่ต่ำกว่าห้าคน
"พวกมันมีกำลังม้า ตามมาจะทันแล้ว" เสี่ยวชิงเอ่ยขึ้น
"ตามมาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ อย่างไรก็ยากที่จะไม่ต้องสู้แล้ว" กู่หรูซึ่งขี่ม้าขนาบข้างอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนายเช่นเดียวกันกับเสี่ยวชิงเอ่ยต่อ
ในเมื่อสุดท้ายแล้วการสู้และต้านกำลังของพวกโจรเอาไว้ดูจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้านายทั้งสองรอดไปได้ พวกเขาซึ่งเป็นผู้ติดตามอารักษ์ขาเจ้านายทั้งสองรู้ดีว่าควรทำเช่นไร
กู่หรูและเสี่ยวชิง ควบคุมม้าให้หยุดวิ่งและหันไปเผชิญหน้ากับพวกโจรทันที พวกเขาทั้งสองทำตัวเป็นปราการด่านสุดท้ายเพื่อปกป้องนายด้วยชีวิต
หลิวซือนัวหันย้อนกลับไปมอง กู่หรู และเสี่ยวชิง เมื่อเห็นว่าเสียงฝีเท้าม้าของทั้งคู่หายไป
นางกลับเห็นคนทั้งคู่บังคับม้ากลับไป รอเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างอาจหาญ จังหวะหนึ่งที่นางเห็นเสี่ยวชิงและกู่หรูหันมายิ้มให้พวกนางก่อนจะหันหน้าไปยังทางที่พวกโจรกำลังใกล้เข้ามา
ก่อนจะหันกลับไป พวกเขายังเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาได้อย่างพร้อมเพียงกัน ประโยคนั้นทำเอาหลิวซือนัวที่ได้ยินใจรู้สึกหายขึ้นมาในทันที
"คุณหนู ท่านรีบหนีไปเถอะ / คุณชาย ท่านรีบหนีไปเถอะ"
แม้แทบจะไม่อาจควบม้าต่อไปได้ แต่หลิวซือนัวกับต้องพยายามควบคุมม้าให้วิ่งต่อไปให้เร็วที่สุด โดยได้แต่หวังว่า ยิ่งนางสามารถหนีไปได้ไกลมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งจะทำให้เสี่ยวชิงและกู่หรูสามารถหาจังหวะหนีไปได้เร็วขึ้นมากเท่านั้น
นางหวังว่าพวกเขาทั้งสองคนจะรอดปลอดภัย และพวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีก...
ผู้เป็นนายของพวกเขาไปแล้ว เสี่ยวชิงจึงหันไปชวนสตรีหาญที่ขนาบอยู่บนม้าข้าง ๆ สนทนาบ้าง
"เจ้าเคยฆ่าคนไหม" นี่คือคำถามที่เขาเอ่ยถามสตรีหาญ
"ย่อมต้องเคยฆ่า" นี่คือคำตอบที่นางให้เขา พร้อมกับการกระชับกระบี่ในมือตน
"ไม่กลัวที่จะต้องฆ่าเช่นนั้นหรือ" เขาถามนางอีกครั้ง "เหตุใดเจ้าจึงต้องฆ่า"
"เหตุผลเดียวกันกับเจ้า ก็เพราะต้องฆ่า จึงฆ่า" เอ่ยจบเจ้าของร่างบางก็ชักกระบี่คู่กายของตนออกมา ก่อนที่ผู้ติดตามผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองจะควบม้าเข้าไปปะทะกับพวกโจรชั่วในทันที
นัยน์ตาของคนกล้าทั้งคู่ไม่แม้จะปรากฏความกลัวอยู่ในนั้นแม้สักน้อยนิด เพราะพวกเขารู้ดีว่าที่หันดาบหันกระบี่พร้อมที่จะใช้มันปลดชีพชีวิตให้สิ้นนั้นเพราะเหตุใดกันแน่
พวกเขาต่างทำเพราะปกป้องคนที่พวกเขาควรปกป้องอย่างสุดกำลัง เพราะฉะนั้นทั้งดาบและกระบี่ของทั้งคู่จึงฟาดฟันออกไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
จวบจนกระทั่งคนทั้งคู่หมดแรงที่จะถือดาบและกระบี่เอาไว้ได้อีกต่อไป ทว่าพวกเขาก็เลือกที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีกุมด้ามดาบและกระบี่คู่กายของตนเอาไว้แน่
หน้าที่ของผู้ติดตามและอารักษ์ขา คือต่อสู้จนสุดตัวเพื่อผู้เป็นนายและมอบให้ได้แม้กระทั่งชีวิตที่จงรักภักดี
