ตอนที่ 6 โรงเตี้ยมกลางป่า
ตอนที่ 6
โรงเตี้ยมกลางป่า
"บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ"
กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว
เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง
ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว
ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู่ในละแวกนี้อย่างแน่นอน กลุ่มของนางเป็นเพียงผู้ที่เดินทางผ่านมาเช่นเดียวกันกับกลุ่มของเขา
ทว่าสิ่งหนึ่งที่เขาได้รู้เพิ่มเติมมาอีกในคืนนั้นก็คือ คุณหนูหลิวผู้นี้ไม่ได้โง่ นางเองก็ไม่ได้เชื่อใจพวกตนตั้งแต่แรกเช่นกัน ครั้งเมื่อสาวใช้ของนางเดินออกไปต้มชา สตรีผู้นี้ก็แกล้งเอ่ยขึ้นกับผู้ติดตามของนางที่คอยดูแลความปลอดภัยอยู่ไม่ไกล
“ขบวนเดินทางของเราล่าช้าแล้ว หวังว่ารองมือปราบเหลียงคงจะไม่โมโหใช่หรือไม่ หากพวกเราจะไปถึงที่นัดหมายช้าไปสักหน่อย”
เขาจำได้ดีว่าประโยคนี้ที่นางเอ่ยขึ้นมานั้นดังและชัดถ้อยชัดคำกว่าทุกครั้ง นางจงใจเอ่ยเสียงดังฟังชัดให้พวกเขาได้ยินว่ามีผู้ใดกำลังรอพวกนางอยู่
สตรีผู้นี้กำลังใช้ชื่อรองมือปราบเหลียงที่มีชื่อเสียงด้านการปราบโจรชนิดถอนรากถอนโคลนขึ้นมาคุ้มครองตน โดยไม่รู้เลยว่ารองมือปราบเหลียงที่ว่าก็เพิ่งจะโดนพวกโจรสังหารไปเมื่อสองวันก่อน หากว่าวันนี้กลุ่มของพวกนางเจอเข้ากลับพวกโจรจริง ๆ ก็คงไม่สามารถอ้างชื่อรองมือปราบได้อีก และคงจะมีจุดจบที่น่าอนาถไปแล้ว
"คุณชาย ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือขอรับ ข้าน้อยถามท่านเรื่องมื้อเย็นอยู่นานแล้ว" กู่เหอเอ่ยถามขึ้น
"ข้ายังไม่อยากอาหาร เรื่องมื้อเย็นเอาไว้ก่อนเถอะข้าอยากจะนอนพักสักหน่อย"
"คุณชาย ข้าน้อยว่าท่านควรจะทานอาหารสักหน่อยก่อนนะขอรับ ยามนี้คุณชายซูบผอมลงไปมากทีเดียว"
"เจ้าก็รู้ดีว่าต่อให้ข้ากินอาหารเข้าไปก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้" เจ้าของน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงเอ่ยขึ้น ก่อนจะขยับตัวลงนอนบนเตียง
ต่อให้เขากินเท่าไหร่ก็ต้องอ้วกออกมาเท่าที่กินไปเท่านั้น สู้เขาไม่กินเลยจะดีกว่า อย่างน้อย ๆ ก็ถือว่าไม่ต้องทรมานตัวเอง
"เช่นนั้นคุณชายพักผ่อนเถอะขอรับ ข้าน้อยจะลงไปสั่งให้คนต้มโจ๊กเตรียมเอาไว้ เผื่อคุณชายตื่นมาแล้วรู้สึกหิว" กู่เหอเอ่ยขึ้น ก่อนจะถอยออกจากห้องของคุณชายตนไปอย่างแผ่วเบา
เขารู้ดีว่าเหตุใดคุณชายถึงคิดเช่นนี้ และก็รู้ดีว่าคุณชายผู้เคยหล่อเหลาสง่างามเกินใคร เหตุใดยามนี้ถึงได้ไม่หลงเหลือเค้าความสง่างามเช่นกาลก่อน ซึ่งสาเหตุนั้นก็ไม่ได้น่าจดจำแม้สักนิด...
หลิวซือนัวหลังจากที่นางพักผ่อนเสร็จ จึงได้พาเสี่ยวหนิงลงมาหามื้อเย็นรับประทาน ทีแรกเสี่ยวหนิงจะให้นางทานบนห้อง ทว่าหลิวซือนัวอยากจะลงมาทานที่ด้านล่างมากกว่า พวกนางนายบ่าวจึงได้พากันลงมาจากห้องพักในที่สุด
เมื่อพวกนางเดินลงมาก็พบกันผู้ติดตามของนางทั้งสี่คนนอนหมดสติอยู่ที่พื้นบ้างไม่ก็สลบอยู่บนโต๊ะอาหาร
นางและสาวใช้คนสนิทรีบเข้าไปเขย่าเรียกคนของพวกนางทันที แต่ไม่ว่าจะเรียกจะเขย่าตัวแรงเพียงใดพวกเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะได้สติขึ้นมาเลย
"คุณหนู ท่าจะไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ" เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นกับคุณหนูของนาง ใบหน้าของสาวใช้ผู้ภักดีในยามนี้เต็มไปด้วยความกังวล
"พวกเขาจะต้องโดนวางยาแน่ ๆ โรงเตี้ยมนี่ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล"
"เช่นนั้นเราควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู"
"ที่นี่ไม่มีพี่ชายเจ้า ไม่แน่เสี่ยวชิงอาจจะไหวตัวทัน กู่เหอกับกู่หรูคนของคุณชายอวี้ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเราแยกกันไปหาพวกเขาก่อน หากไม่เจอใครให้รีบมาสมทบกับข้าที่หลังโรงเตี้ยม ข้าจะขึ้นไปดูที่ชั้นบน ส่วนเจ้าก็เดินดูที่ห้องชั้นล่างนี่ให้ทั่ว" เสียงหวานเอ่ยสั่งการสาวใช้ตน
"แยกกันไปเช่นนี้ จะดีหรือเจ้าคะ บ่าวเป็นห่วงคุณหนูยิ่งนัก"
"ต้องแยกกัน จะได้ประหยัดเวลาค้นหาคน เสี่ยวหนิงเชื่อข้า พวกเราจะไม่เป็นอะไร"
หลังจากที่แยกจากเสี่ยวหนิง หลิวซือนัวก็ขึ้นมาที่ชั้นสองของโรงเตี้ยม โดยทางที่นางตรงไปก็คือห้องพักคนละฝั่งกันกับห้องพักของนางซึ่งจะเป็นห้องพักของคุณชายอวี้ผู้นั้น
เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องพัก นางก็ไม่รั้งรออีกทั้งไม่ได้เคาะเรียกคนในห้องแต่อย่างไร หลิวซือนัวผลักบานประตูห้องพักเพื่อเข้าไปยังด้านในทันที อีกทั้งไม่ลืมที่จะปิดประตูเอาไว้ดังเดิมด้วย
"คุณชายอวี้ คุณชายอวี้" นางเอ่ยเรียกบุรุษตาบอดซึ่งยามนี้กำลังนอนอยู่บนเตียง เพียงแค่เอ่ยเรียกขึ้นสองครั้งเท่านั้น เจ้าของร่างซูบซีดก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างรวดเร็วทันที
"คุณหนูหลิวใช่หรือไม่ เหตุใดถึงได้เข้ามาในห้องของข้า" อวี้หนานไห่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่จะพอใจนัก เมื่อยามนี้ตนถูกสตรีผู้หนึ่งรุกรานพื้นที่ส่วนตัว ในหัวก็นึกไปถึงผู้ติดตามคนสนิทสองคนพี่น้อง ที่หายไปไหนก็ไม่ทราบ ถึงได้ปล่อยให้ตนถูกรบกวนเช่นนี้ได้
"ดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว...." หลิวซือนัวไม่รอช้า นางรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้เห็นที่ชั้นล่างของโรงเตี้ยมอีกทั้งยังพูดไปถึงสิ่งที่นางคิดว่าอาจจะกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้อีกด้วย
"พวกเราน่าจะติดกับพวกโจรป่าแถวนี้เข้าให้แล้ว" เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยราวกับว่าไม่มีเรื่องใดร้ายแรงหรือน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น
หลิวซือนัวเห็นท่าทีนิ่งเฉยของเขาก็อดจะไม่เข้าใจไม่ได้ หรือเป็นเพราะว่าชายผู้นี้มองไม่เห็น ความตื่นกลัวที่ควรจะมีจึงไม่มากเช่นนางที่มองเห็นอย่างนั้นหรือ
"เหตุใดท่านจึงดูไม่หวาดกลัวเลยเล่า"
"ตัวข้าเป็นบุรุษ ยิ่งตอนนี้อยู่ในสภาพเช่นนี้ด้วยแล้ว หากพวกโจรมาเจอเข้าก็คงสังหารข้าทิ้งในทันทีอยู่แล้ว ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องตายแล้วจะหวาดกลัวไปไย"
บุรุษที่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากคนตายไปแล้วเช่นเขายังจะต้องกลัวความตายไปทำไมกัน บางทีความตายก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็ได้
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าชายตาบอดผู้นี้ที่แท้ก็มาถึงจุดที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว
"ยังพอมีเวลาที่จะหนีไปจากที่นี่ได้..." หลิวซือนัวไม่สนใจเจ้าของร่างซูบซีดว่าเขาจะคิดเช่นไร นางเอ่ยขึ้นเพื่อจะบอกแผนการของตนแก่เขา ทว่ายังไม่ทันเอ่ยจบอีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
"ในเมื่อยังพอมีโอกาสรอด คุณหนูหลิวก็รีบหนีไปเถอะ ข้าอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว ขอให้เจ้าปลอดภัยก็แล้วกัน"
น้ำเสียงไม่อาวรณ์ใด ๆ เอ่ยขึ้น ก่อนที่เจ้าของร่างซูบซีดจะทำท่าจะนอนลงเช่นเดิมทำเอาหลิวซือนัวที่เห็นเช่นนั้นอารมณ์เดือดขึ้นมาทันที
"ท่านไม่รักชีวิตแล้ว ไม่รักตัวกลัวตายก็เรื่องของท่าน แต่ตัวข้าอุตส่าห์มีใจจะช่วยเหลือท่านเช่นนี้ ในสถานการณ์แบบนี้ท่านยังจะมีหน้ามาปฏิเสธได้" เจ้าของเสียงหวานโพล่งออกมาอย่างเหลืออด
"ในเมื่อท่านไม่ต้องการชีวิตตนแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าก็จะเป็นเจ้าของชีวิตของท่านเองก็แล้วกัน!!!"
"ลุก ลุกขึ้นมาแล้วไปกับข้าเดี๋ยวนี้!!!" นางไม่สนอะไรอีกแล้ว เจ้าคนตาบอดผู้นี้ถึงไม่รักชีวิตแล้วก็เถอะ แต่จะให้นางปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่สามารถช่วยได้กลับไม่ช่วยเช่นนั้นหรือ
"ข้าไม่ไป เจ้าไปเถอะ"
"ชีวิตที่ท่านเลือกจะทิ้งมัน ข้าเก็บมันมาแล้ว ต่อจากนี้ข้าไม่ให้ท่านตาย ท่านก็ต้องไม่ตาย ลุกขึ้น ไปกับข้า!!!"
ผู้อื่นทำได้หรือไม่นางไม่รู้และไม่คิดที่จะสนใจอยากรู้ด้วย นางรู้แค่ว่านางทำไม่ได้ที่จะต้องเห็นคนตายแล้วไม่ช่วย
สุดท้ายนางจึงดึงเจ้าบุรุษตาบอด เจ้าโครงกระดูกผู้ไม่อยากมีชีวิตอยู่นี้ขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ก่อนจะพากันประคองลงมาจากด้านบน จุดหมายคือไปรวมตัวกับเสี่ยวหนิงที่ไม่รู้ว่ายามนี้จะพบเจอผู้ใดเพิ่มอีกหรือไม่
ด้านเสี่ยวหนิง หลังจากที่นางเดินสำรวจจนมาถึงส่วนที่เป็นห้องครัวก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้น เสียงนี้คล้ายกับเสี่ยวชิงพี่ชายของนางยิ่งนัก เสี่ยวหนิงจึงรีบเข้าไปด้านในห้องครัวทันที
"พี่เสี่ยวชิง แม่นางกู่หรู เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่"
นางเอ่ยถามขึ้นทันที ยามนี้ภายในห้องครัวมี สองสามีภรรยาวัยชราซึ่งนางจำได้ดีว่าคนทั้งคู่คือเจ้าของโรงเตี้ยมแห่งนี้ คนทั้งคู่นั่งคุกเข่าลงกับพื้นโดยมีพี่ชายของนางถือกระบี่พาดอยู่ที่คอของผู้เป็นสามีของหญิงชรา
"คนของเราถูกวางยาสลบ สองคนนี้น่าจะเป็นสายของพวกโจร"
"โชคดีที่ ข้า พี่กู่เหอและพวกท่านยังไม่ได้ทานอาหารที่สองคนนี้ทำ ไม่เช่นนั้นยามนี้พวกมันก็คงจะเรียกพวกโจรมาปล้นฆ่าพวกเราแล้ว" กู่เหอเอ่ยต่อ
"พวกเราเห็นว่าพวกเจ้าสองคนชราแล้ว จึงไม่นึกระแวงสงสัยเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องวางแผนร้ายเช่นนี้ด้วย" เสี่ยวหนิงเอ่ยถามขึ้นอย่างโมโห
"พวกข้าสองสามีภรรยาไฉนเลยอยากจะทำเรื่องเช่นนี้ หากไม่ทำก็ต้องถูกโจรชั่วพวกนั้นฆ่าตาย เราสองตายายใช่ว่าจะเสียดายชีวิตตน แต่เป็นห่วงชีวิตหลานชายที่ยังเล็กนักที่ถูกพวกชั่วนั่นจับไปเป็นตัวประกันให้พวกเรายอมทำตามคำสั่ง" หญิงชราเอ่ยทั้งน้ำตา
"ชีวิตหลานชายเจ้ามีค่า แล้วสิบชีวิตของพวกเราล่ะ ไร้ค่าเช่นนั้นหรือ" เสี่ยวหนิงตอกกลับไปในทันที
สองสามีภรรยาวัยชราไม่ได้ตอบอะไรกลับมา พวกเขาเพียงร้องไห้ออกมาอย่างสำนึกผิดเท่านั้น
"ไม่ใช่ข้าไม่เข้าใจความจำใจของพวกเจ้าสองคน เพียงแต่เจ้ารักหลานชายเจ้า พวกเราเองก็รักชีวิตตัวเองเช่นกัน ทีนี้พวกเจ้าก็ช่วยตอบมาว่าพวกโจรจะมาเมื่อไหร่ แล้วพวกเจ้าใช้สิ่งใดส่งสัญญาณให้พวกโจรเพื่อเรียกให้พวกมันบุกมา"
เจ้าของดาบยาวที่พาดอยู่ที่บ่าของชายชราไม่รอช้า เขาไม่สนใจว่ายามนี้คนทั้งคู่จะร้องไห้เสียใจเพียงใด เพราะหากมีความสงสารเห็นใจให้เกรงว่าชีวิตของพวกเขาเองก็คงยากจะรักษาเอาไว้ได้
"พวกโจรสั่งให้เราวางยาสลบลงในอาหารของพวกท่าน เมื่อจัดการทุกคนได้หมดแล้วก็ให้จุดไฟด้านหน้าโรงเตี้ยม เมื่อพวกมันเห็นควันไฟก็จะบุกเข้ามา" หญิงชราเอ่ยตอบ
"เท่าที่ข้าเห็นพวกเจ้ายังไม่ทันได้จุดไฟที่หน้าโรงเตี้ยมใช่ไหม" เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้น เมื่อครู่ยามที่นางออกไปดูด้านหน้าโรงเตี้ยมก็ไม่เห็นว่ามีกองไฟถูกจุดเอาไว้
"หากไม่ใช่พวกเจ้ามาพบเราสองคนก่อน กองไฟก็คงจะถูกจุดตั้งแต่เมื่อครึ่งก้านธูปก่อนแล้ว" ครานี้เป็นชายชราที่เป็นผู้ตอบบ้าง
"ทั้งๆที่เจ้าก็รู้ว่าพวกเรายังมีคนที่ยังไม่ถูกวางยาน่ะหรือ" กู่หรูถามอย่างไม่เข้าใจ
"พวกผู้ติดตามของพวกท่านส่วนใหญ่สลบหมดแล้ว คนหนึ่งก็ขี่ม้าออกไป เหลือเพียงพวกเจ้าสามคนกับคุณหนูอ่อนแอและคุณชายตาบอดผู้หนึ่งเท่านั้น ดูจากกำลังของโจรกลุ่มนี้เมื่อสู้กันยังไงพวกท่านก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี"
สิ่งที่ได้ยินทำเอาคนทั้งสามชะงักไปครู่หนึ่งเลย ที่แท้สองคนนี้สอดส่องสำรวจพวกตนเป็นอย่างดี แม้แต่กู่เหอที่ขี่ม้าออกไปเงียบ ๆ เพื่อไปดูรถม้าและคนขับรถม้าที่เสียอยู่ที่ป่าอีกด้านหนึ่งสองคนนี้ก็ยังรู้ทั้งที่คนที่รู้เรื่องนี้น่าจะมีแค่กู่หรูกับเขาเพียงเท่านั้น
กู่หรูกับเสี่ยวชิงช่วยกันมัดสองสามีภรรยาเอาไว้ ก่อนจะรีบแบ่งหน้าที่กัน
"เสี่ยวหนิง เจ้ารีบเข้าไปตามคุณหนูของเรากับคุณชายอวี้มาที่ด้านหลังโรงเตี้ยมที"
"ส่วนแม่นางกู่หรูท่านกับข้า เข้าไปช่วยกันพาผู้ติดตามที่ไม่ได้สติออกมาจากโรงเตี้ยมก่อนเถอะ"
เมื่อแจกแจงงานกันเสร็จแล้วพวกเขาทั้งสามคนก็เตรียมที่จะไปปฏิบัติกันในทันที ทว่าหญิงชราที่ถูกมัดเอาไว้ก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน ทำเอาฝีเท้าของพวกเขาที่กำลังจะก้าวเดินไปจำต้องชะงักลงอีกครั้ง
"หากจะช่วยคนก็คงต้องรีบเข้าซะหน่อยเล่า ข้าลืมบอกไปว่า หากภายในหนึ่งก้านธูปทางโรงเตี้ยมยังไม่จุดกองไฟสัญญาณ พวกโจรก็จะบุกเข้ามาอยู่ดี..."
