บทที่ 19 ผู้ช่วยคนรับใช้
“ปรายทำได้ค่ะแต่ปรายไม่ได้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการหรอกค่ะ” ปรายชลตอบเสียงเบา
“ไม่ได้เป็นผู้ช่วย แล้วปรายทำอะไรล่ะ”
“คนรับใช้บ้านคุณภูชิสส์ค่ะ”
“อะไรนะ คนรับใช้เหรอ”
ปรายฟ้าดีดตัวลงจากเตียงนุ่ม มือที่กำโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย ภูชิสส์ให้น้องสาวของหล่อนไปเป็นสาวใช้อย่างนั้นหรือ เขาทำกับหล่อนอย่างนี้ได้อย่างไร
“ค่ะ คนรับใช้ พี่ฟ้าคะ บอกปรายมาตรงๆ คุณภูชิสส์ไม่ใช่เพื่อนพี่ฟ้าใช่มั้ยคะ เขาเป็นเจ้าหนี้พี่ใช่มั้ยคะ ใช่มั้ยคะพี่ฟ้า” ปรายชลย้ำเสียงดัง
“ปราย พี่ขอโทษ แต่คุณภูชิสส์บอกกับพี่ว่าจะให้ปรายไปเป็นผู้ช่วยไม่ใช่เป็นคนรับใช้นี่”
เสียงรู้สึกผิดของพี่สาวดังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของปรายชล หล่อนยืนนิ่ง ลมหายใจหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง มือกำโทรศัพท์อยู่เย็นเฉียบ น้ำใสรื้นขึ้นในดวงตาคู่สวย ทำไมปรายฟ้าไม่บอกความจริงกับหล่อนว่าภูชิสส์เป็นใคร ถ้าหล่อนรู้ หล่อนจะไม่มีวันมาทำงานกับเขา หล่อนจะหางานที่อื่นทำแล้วนำเงินมาใช้หนี้เขา ตอนนี้หล่อนกลายเป็นสาวใช้ขัดดอกไปแล้ว มิน่าล่ะเขาถึงแสดงกิริยารังเกียจหล่อน อยากล่วงเกินหล่อนก็ทำโดยไม่คำนึงถึงว่าหล่อนจะเป็นอย่างไร
“ทำไมพี่ฟ้าไม่บอกปรายก่อนล่ะคะ” หล่อนปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ กลืนก้อนสะอื้นลงในลำคอ
“พี่ขอโทษ พี่ไม่กล้าบอกปราย อย่าโกรธพี่นะปราย เดี๋ยวพี่จะโทร.คุยกับคุณภูชิสส์ เขาทำแบบนี้กับน้องสาวพี่ไม่ได้”
ปรายฟ้ากดตัดสายจากปรายชลแล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง นามบัตรของภูชิสส์วางอยู่หน้ากระจก หล่อนยิบขึ้นมากดตัวเลขตามด้านล่างของนามบัตร กดโทร.ออก เสียงเรียกปลายสายดังติดต่อกันแต่ไม่มีคนรับสาย หล่อนกดโทร.ออกซ้ำหลายครั้ง ภูชิสส์ไม่รับสายเช่นเดิม หล่อนทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“พี่ขอโทษนะปราย พี่จำเป็นต้องให้ปรายไปอยู่กับเขาแต่ไม่คิดว่าเขาจะให้ปรายเป็นคนรับใช้ พี่ขอโทษ”
ความรู้สึกผิดวิ่งพล่านในหัวใจของหล่อน การกระทำของหล่อนเหมือนกับขายน้องสาวตัวเองเพื่อแลกกับหนี้สินทั้งหมด หนี้สินที่หล่อนเป็นคนสร้างมันขึ้นมา หล่อนต้องพูดกับภูชิสส์ หล่อนยอมให้น้องเป็นสาวใช้ไม่ได้ ปรายชลต้องทำงานดีกว่านี้ หล่อนกดโทรศัพท์โทร.ออกอีกครั้งแต่ปลายสายไม่มีคนรับ หล่อนขว้างโทรศัพท์ลงบนเตียง หายใจหอบถี่ ครู่ใหญ่จึงสงบลง
ปรายชลเดินกลับมาห้องครัว สีหน้าของหล่อนหม่นเศร้า ดวงตามีน้ำรื้นเต็มหน่วยตา หล่อนเดินไปนั่งบนเก้าอี้
“ปราย เป็นอะไรวะ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย” จันทร์ถามเกรงใจ
“เปล่าจ้ะพี่” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ สายตาจับนิ่งที่ตะกร้าผักสด
“ไม่เป็นไร แล้วทำไมทำหน้ายังกับคนเพิ่งร้องไห้มาล่ะ เป็นอะไรก็บอกพี่ได้นะ ปวดหัวรึเปล่า”
“เปล่าจ้ะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก พี่จันทร์จะให้ฉันทำอะไรก็บอกมาเลย”
ปรายชลลุกจากเก้าอี้กะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำใสออกจากดวงตาแต่มันมีมากจนล้นออกมา หล่อนหันหลังให้แม่บ้าน ป้ายน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว หล่อนต้องเข้มแข็งไม่ว่าภูชิสส์จะให้ทำอะไร หล่อนต้องทำให้ได้ในเมื่อหล่อนเป็นตัวขัดดอกของเขาแล้ว หล่อนต้องทำหน้าที่ของหล่อนให้ดีที่สุด พี่สาวของหล่อนจะได้ปลอดภัย
“ยกชามไปที่โต๊ะอาหาร จัดโต๊ะให้เรียบร้อยด้วย”
“จ้ะ ชามในตู้นี่เหรอพี่”
“เออ ช้อนอยู่ในนั้นแหละ ยกเครื่องปรุงไปด้วย ยกไปทั้งกระจาดนั่นแหละ กระจาดอยู่ในตู้โน้น”
จันทร์ชี้มือไปอีกตู้หนึ่งแม้หล่อนจะใช้ปรายชลแต่ก็สังเกตสีหน้าของหญิงสาวไปด้วย ใบหน้าปรายชลซีดและเศร้า ก่อนที่ปรายชลจะวิ่งไปเอาโทรศัพท์ในห้องยังร่าเริงสดใสดีแต่พอกลับมาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พอถามก็บอกไม่มีอะไร ถ้าไม่มีอะไรจะทำหน้าเหมือนคนร้องไห้ทำไม
ปรายชลจัดโต๊ะตามความเคยชิน หล่อนจัดให้พี่สาวกับตัวเองเป็นประจำแต่ที่บ้านภูชิสส์ หล่อนไม่รู้ว่าใครนั่งหัวโต๊ะและใครนั่งฝั่งไหนจึงวางชามและจานรองไว้รวมกันฝั่งเดียว แก้วน้ำก็วางไว้ที่เดียว จันทร์เดินตามมาเห็นตั้งใจจะดุแต่พอเห็นหน้าเซียวๆ ของปรายชลจึงจัดวางถ้วยชามและแก้วน้ำเสียเอง
“ปราย ดูไว้นะ คุณนุนั่งทางซ้ายมือ ส่วนคุณชิสส์นั่งขวามือ เก้าอี้หัวโต๊ะเป็นของคุณผู้หญิง คุณชิสส์เพิ่งให้เอาออกไป ทุกเช้ากับตอนเย็นตั้งโต๊ะแค่สองชุด ถ้ากลางวันคุณนุมาทาน ก็จัดที่เดียว”
“จ้ะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับคำจันทร์ ทอดสายตามองชามและจานรองเป็นกระเบื้องเนื้อดี สีขาวสะอาดตา นับจากนาทีนี้ หล่อนต้องเรียนรู้การเป็นคนรับใช้ให้สมบูรณ์ เพื่อจะได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด...
ที่โต๊ะอาหาร ภูชิสส์เดินเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวที่เคยนั่งเป็นประจำ ภานุรุจตามเข้ามานั่งตรงข้ามกับหลานชาย เขาหันไปมองปรายชล ยิ้มให้หล่อน
“ปราย ฉันขอกาแฟด้วยนะ”
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ” หล่อนรับคำพร้อมรอยยิ้มบาง ภูชิสส์มองหน้าหล่อน
“ให้คุณชิสส์ด้วย” ภานุรุจหันไปมองหลาน เห็นสายตาหลานจึงยิ้มกับปรายชลอีก
“ค่ะ”
หล่อนเดินออกไป จันทร์ตักข้าวต้มใส่ชามให้เจ้านายหนุ่มทั้งสอง พอถึงภูชิสส์จันทร์มองหน้าผากของเขาแล้วถามเบาๆ
“คุณชิสส์หายเจ็บรึยังคะ จันทร์ขอโทษแทนยายปรายด้วยนะคะ”
“มีอะไรเหรอจันทร์” ภานุรุจมองหน้าแม่บ้านสาวเพราะคำถามของหล่อน เขาหันไปมองภูชิสส์
“ชิสส์ หน้าผากไปโดนอะไรมา”
