ตอนที่9. นึกขึ้นได้
จางฟางซินได้สติ นึกขึ้นได้ว่าหลัวหลิวหยางเข้ามาดูอาการของนาง นางจึงเอ่ยขึ้น
“ตอนเด็กๆ ข้าเคยตกหลังม้า นับจากนั้นข้าไม่กล้าขี่ม้าเพียงคนเดียวอีกเลย มันเป็นม้าที่สูงกว่าข้าไม่เท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนั้นมันเกิดพยศทำให้ข้าตกลงมา แม้จะบาดเจ็บไม่มากนัก แต่ความรู้สึกที่อยู่บนหลังม้าที่พยศนั้นข้าจำได้อย่างดี ความทรงจำนั้นกลายเป็นฝันร้ายของข้า มาบัดนี้เห็นทีว่าการอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบจะเป็นฝันร้ายแทนทีการตกม้าครั้งนั้นของข้าแล้ว”
“เจ้าจำอะไรได้ไหม” เขาถาม
“ข้าจำท่านได้” นางตอบด้วยรอยยิ้ม แม้นางจะแอบมองเขาจากที่ไกลๆ แต่นางยังจำดวงตาคมเข้มดุดัน โหนกแก้มสูง จมูกดุจเหยี่ยวทรงอำนาจที่ปรากฏชัดเจนในความฝันของนางได้ ถ้าการตกม้าคือฝันร้ายของนาง เขาก็คือฝันดีของนางเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพ” หญิงสาวรำพึง “ท่านช่วยชีวิตข้า”
“ข้าแค่บังเอิญอยู่ที่นั้น”
จางฟางซินคิดพลางหลับตาลงช้าๆ เขาพูดถูกต้องทุกอย่าง เขาแค่บังเอิญผ่านมาในยามที่นางเดือดร้อน หากไม่ใช่เพราะนางคือ ‘จางฟางหรง’ เขาคงไม่เสียเวลามาใส่ใจนางถึงเพียงนี้ คิดได้ดังนั้นก็สูดลมหายใจลึก ยืดแผ่นหลังตั้งตรงแล้วสบตากับเขา
“ข้าดีขึ้นแล้ว เรามามาคุยเรื่องงานกันเถิด”
“งาน?”
“ใช่” นางพยักหน้ารับ “หรือท่านยังไม่เชื่อว่าข้าคือจางฟางหรงจริงๆ”
หลัวหลิวหยางปล่อยมือจากไหล่นาง ถอยหลังมาเล็กน้อยกวาดตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง รอยฟอกช้ำยังเห็นอยู่เด่นชัด แต่สีหน้าของนางดีขึ้นมากแล้วจริงๆ
“ข้าเชื่อเจ้า”
“ท่านเชื่อข้าง่ายถึงเพียงนี้” นางขมวดคิ้ว ที่ผ่านมานางกังวลมาตลอดว่าเขาจะไม่ยอมรับนาง เช่นนั้นการเดินทางของนางจะสูญเปล่า
“ข้าเคยพบจางฟางหรง” เขาพูด “ท่าทางเขาไม่เหมือนคนที่จะชอบอ่านตำราพิชัยยุทธ แต่ข้าเชื่อความคิดอ่านในจดหมายของเขามาก”
“อย่างนั้นหรือ?” นางเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้ากังวลใจมาตลอดว่าจะอธิบายท่านอย่างไร”
“ข้าเป็นคนมีเหตุผล”
“เช่นนั้น...” นางอ้าปากแต่ยังพูดได้เพียงสองคำ เขาก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน ครู่หนึ่งแม่นมเหมยกุ้ยเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้ที่นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้จางฟางซินผลัดเปลี่ยน แม่นมเหมยกุ้ยพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน เมื่อเหลือเพียงสามคนนางจึงเอ่ยขึ้น
“แม่นางได้สติดีแล้ว ข้าจึงจัดเตรียมเสื้อผ้ามาให้”
“ขอบคุณแม่นมเหมยกุ้ยมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้ท่านลำบากเพราะข้าแท้ๆ ข้าวของเครื่องใช้ของข้าอยู่ในรถม้า”
“ในรถม้ามีของสำคัญใดหรือไม่ ข้าส่งคนออกไปดูไม่พบสิ่งใด พวกโจรคงขโมยไปหมดแล้ว”
จางฟางซินส่ายหน้าไปมา “นอกจากเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวแล้วไม่มีสิ่งอื่นเจ้าค่ะ โจรกลุ่มนั้นคงปล้นเสียเทียวแล้ว”
‘ตัวข้าสำคัญที่สุดแล้ว’ นางไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป เกรงว่าเขาจะเห็นว่านางเป็นคนชอบเยินยอตัวเอง
ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเด็กรับใช้ประคองถ้วยยาเข้ามา หญิงสาวยิ้มค้าง ดวงตาจ้องมองหลัวหลิวหยางเป็นเชิงถาม นี่นางต้องดื่มยาอีกแล้วหรือ? ปกตินางเป็นคนแข็งแรงจนน้องชายหยอกล้อว่านางแข็งแรงเหมือนวัว ร้อยวันพันปีจะเจ็บป่วยสักครั้ง หากไม่นับข้อเท้าของนางที่เจ็บหนัก นางคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีแล้วจริงๆ
หลัวหลิวหยางรับถ้วยถือด้วยมือข้างเดียวแล้วช่วยพยุงนางขึ้น ยกถ้วยยาขึ้นจ่อริมฝีปากที่ยังมีร่องรอยบาดแผล ดวงตาของนางฉายความไม่พอใจชัดเจน แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็น บังคับให้นางค่อยๆ จิบยาอย่างยากลำบาก รสขมเฝือดคอทำให้นางแตะหลังมือที่จับถ้วยยาเป็นเชิงบอกให้เขาหยุดก่อน นางประคองถ้วยยาด้วยตนเอง ยาขมร้ายกาจแล้วยังให้นางจิบที่ละนิดนี่มันช่างชั่วช้าเหลือเกิน นางรับถ้วยยามาแล้วกระดกดื่มรวดเดียวหมดชาม แม้กิริยาไม่น่ามองนัก แต่นางเลือกจะตายดาบเดียวดีกว่าถูกทรมานด้วยการจิบยาที่ละนิดเช่นนี้
แม่นมเหมยกุ้ยลอบมองสีหน้าของหลัวหลิวหยาง แม้เขาจะไม่แสดงอาการใด แต่นางสัมผัสได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นคนพิเศษจริงๆ แม้ท่านแม่ทัพจะอธิบายฐานะของจางฟางซินแล้ว แต่สายตาของหญิงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างนางย่อมมองเห็นประกายตาของแม่ทัพหนุ่ม
