2
“พี่เข้มฝากผ้ามาให้พี่สาจ้ะ”
“โอ๊ย! ไอ้เข้มนี่มันไม่เจียมกะลาหัวจริงๆ เลย ฝากไปบอกมันด้วย ว่านังสาน่ะมันกำลังจะแต่งงาน”
“แต่งงานเหรอจ๊ะป้า กับใคร”
“ก็คนที่นั่งคุยกันอยู่นั่นแหละ”
“ใครกันจ๊ะ ไม่เคยเห็นมาก่อน”
“เขาเป็นเศรษฐีผู้ดีเมืองกรุง นี่ก็ตกลงเรื่องสินสอดทองหมั้นกันแล้ว ของฝากนี่ฉันจะรับเอาไว้ให้ เอ็งก็กลับไปบอกไอ้เข้มว่าให้ทำใจเสียเถอะ”
ดุจดาวส่งผ้าผืนสวยที่เข้มซื้อให้สาวิกาให้จันทร์เพ็ย เดินออกมาจากบ้านของสาวิกาด้วยใบหน้าหงิกงอ
“ไม่อยากได้เป็นลูกเขย แต่ของฝากไม่เคยปฏิเสธ เห็นแก่ได้”
เธอเดินมาถึงบ้านไม้หลังขนาดกะทัดรัดของขุนพลก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่ ชายหนุ่มกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ จะบอกอีกฝ่ายอย่างไรดีนะ
“เอาของไปให้แม่สาแล้วใช่ไหม แม่สาชอบหรือเปล่าล่ะ”
“จริงๆ พี่เข้มน่าจะเอาไปให้เองนะ”
เธอกระแทกตัวนั่งลงที่แคร่หน้าบ้าน กอดอกมองเขาอย่างเวทนาไม่น้อย
“พี่ไม่กล้าหรอก”
คนบอกไม่กล้าพูดเฉยเมย ในสายตาของเด็กสาวพี่เข้มของเธอทึ่มชะมัดเลย จะรีบสาวแต่ไม่ยอมรุก
ดุจดาวถึงกับกรอกตาเบ้ปากมองบน เวลาที่ขุนพลเจอกับสาวิกาก็มัวแต่ไม่กล้า ไม่แสดงออกว่าจะจีบ บางครั้งสาวิกาเลยมีท่าทีรำคาญ แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนเรียบร้อยแต่ก็ชอบชม้ายชายตาให้ผู้ชาย ชอบให้ผู้ชายรุมจีบ
เธอเห็นแล้วคันปากยิบๆ อยากพูดอยากบอก แต่ก็นั่นแหละ มันดูเป็นการทำลายน้ำใจเขา แอบรักเขาข้างเดียวมานาน ตั้งแต่แตกเนื้อสาว เลยกลัวเขาเสียใจนัก หรือเวลาที่บ้านของสาวิกาต้องการแรงงานหรือให้ช่วยอะไร ก็มาหลอกใช้ให้ไปทำให้ พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง
“มัวแต่อ้ำอึ้งแบบนี้ไง ไม่บอกเขาไปตรงๆ หมามันเลยจะคาบไปแดกแล้วเห็นไหม”
“เอ็งหมายความว่ายังไง”
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ฉันกลับก่อนนะ”
พออ้าปากจะพูดก็นึกเห็นใจอีก สุดท้ายก็ได้แต่น้ำท่วมปาก ทำท่าจะเดินหนีกลับบ้าน
เอาเถอะ! ความลับไม่มีในโลก เดี๋ยวขุนพลก็รู้แหละว่าสาวิกาจะแต่งงาน
“ไหนบอกจะนอนนี่ไง”
เขาทวงถาม สีหน้าเรียบเฉยซุกซ่อนเอาไว้ด้วยดวงตาคมเข้มยากจะคาดเดา
“ไม่เอาดีกว่า กลับไปนอนบ้านตัวเองสบายกว่า”
“เดินขึ้นไปแล้วเห็นถุงกระดาษนั่นไหม” เขาเอ่ยบอก
เธอทำตามก่อนจะหยิบขึ้นมา
“อะไรเหรอจ๊ะพี่เข้ม”
“พี่ซื้อให้เอ็ง ชอบไหมลองดูสิ”
“ว้าว... สวยจัง พี่เข้มทำไมซื่อบื้อแบบนี้นี่”
“ซื่อบื้ออะไรของเอ็ง”
“ผ้าผืนนี้สวยกว่าที่ให้พี่สาอีก ทำไมพี่ไม่เอาผืนนี้ไปให้พี่สาแต่เอาอีกผืนไปให้ ผืนโน่นสวยน้อยกว่า”
“ซื่อบื้อจริงๆ นั่นแหละ”
เขาเดินมาบีบจมูกคนซื่อบื้อที่มองเขาตาปริบๆ ดุจดาวมองอย่างไม่เข้าใจ และเขาก็ไม่พูดอะไรให้เธอเข้าใจอีกด้วย
เธอขอบคุณเขาก่อนกลับบ้าน คิดในใจว่าเขาซื่อบื้อจริงๆ น่าจะเอาของสวยๆ ไปจีบสาว แล้วเมื่อไหร่สาวิกาจะใจอ่อน แต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ เพราะสาวิกากำลังจะแต่งงานอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เป็นจริงดังคาดพอขุนพลรู้เข้าก็เสียอกเสียใจ ตีอกชกตัว แล้วก็หันไปกินเหล้าเมายา ในขณะที่สาวิกาแต่งงานไปกับหนุ่มชาวกรุงและเดินทางไปอยู่กรุงเทพฯ เสียแล้ว
“พี่เข้ม พอแล้วจ้ะ จะเมาให้ได้อะไรขึ้นมาล่ะ”
“พี่อยากเมา ทำไมเอ็งไม่บอกพี่ว่าแม่สาจะแต่งงาน”
“ฉันไม่กล้าบอกหรอก กลัวพี่เสียใจ”
“แต่ยังไงก็ต้องรู้ ตอนนี้พี่ก็เสียใจ”
“โธ่... พี่ ฉันขอโทษก็แล้วกัน แต่อย่าดื่มอีกเลยนะ”
“อย่ามายุ่ง”
ขุนพลผลักไส ก่อนจะดื่มต่อ เธอนั่งตบยุงเฝ้าเขา กลัวเมาแล้วจะโดนยุงหามไปทิ้งป่า บิดามารดาของเธอเข้าป่าไปหาของป่าตั้งแต่เย็น เธอเลยมาอยู่กับเขาค่ำๆ มืดๆ แบบนี้ได้ แถวนี้ไม่ค่อยมีใครคิดอะไรกันหรอก เพราะอยู่กันแบบพี่น้องเนื่องจากเป็นชนบทห่างไกลความเจริญ อีกทั้งบ้านแต่ละหลังก็ไกลกันมาก เดินทางด้วยการเดินเท้าหรือจักรยาน บ้านไหนมีมอเตอร์ไซด์ถือว่ารวยที่สุด ไฟฟ้าก็ยังเข้ามาไม่ถึง ใช้ตะเกียงหรือเทียนไขจุดให้แสงสว่างยามค่ำคืน
“เมาเหมือนหมา”
