8 จอมบงการ
หลังการประชุมเสร็จสิ้นลง คุณรังสิมันต์ก็เชิญคุณชลธีร์ไปคุยเป็นการส่วนตัวต่อที่ห้องทำงาน
“น้ำหวาน เดี๋ยวพ่อขอตัวไปคุยกับท่านประธานสักครู่นะ” ชลธีร์บอกกับบุตรสาวข้างกายแล้วออกเดินออกห้องประชุมไปพร้อมกับคุณรังสิมันต์
“ค่ะคุณพ่อ” จากนั้นผู้บริหารคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปกันจนหมด
ปุณณภพเห็นโอกาสเหมาะก็รีบสาวเท้าเข้าไปหามธุสรที่กำลังเก็บเอกสารด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องเธอราวกับเสือที่กำลังจ้องจับเหยื่อ สายตาของเขาไล่สำรวจเรือนร่างอรชรของเธออย่างเปิดเผย
“จะรีบไปไหนละครับ คุณน้ำหวาน” ปุญณภพเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
มธุสรเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง
“มีอะไร?”
“ผมคิดว่าเราควรจะคุยกันเพื่อปรับความเข้าใจ อย่างน้อยคุณก็เป็นหัวหน้าโครงการที่มันมาจากแนวคิดของผม” ปุญณภพกล่าว พร้อมกับขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น มธุสรขยับลุกขึ้นยืนและถอยหลังโดยอัตโนมัติ
“ฉันมีความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากหน้าที่รับผิดชอบ คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยเสียงเย็นชา
“แต่ผมอยากให้เราทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข และเข้ากันได้ทุกเรื่อง” ซีอีโอหนุ่มก้มลงกระซิบข้างหูเธอ มธุสรสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่รดต้นคอ ปุณณภพย้ำในประโยคท้ายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
สายตาคมเข้มของเขาไล่สำรวจเรือนร่างอรชรที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ตั้งแต่เส้นผมดำขลับที่ถูกรวบขึ้นอย่างลวกๆ ไปจนถึงเรียวขาเนียนสวยที่ซ่อนอยู่ภายใต้กระโปรงทรงสอบ
“ผมไม่อยากให้เรามีความขัดแย้งกัน”
“ฉันไม่เคยมีความขัดแย้งกับใคร” มธุสรตอบ
“แต่ผมรู้สึกว่าคุณไม่ชอบผม” ปุณณภพกล่าว
“นั่นคุณคิดไปเองค่ะ” มธุสรตอบ
“ผมก็หวังว่าจะมันจะเป็นเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังมีรายละเอียดของโครงการที่อยากจะพูดคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว และอย่าลืมว่าคุณยังไม่ได้นำเสนอแผนงานของคุณให้ผมได้พิจารณาเลย”
“ฉันคิดว่าฉันอธิบายบายตอนประชุมเมื่อกี้ไปหมดแล้วนะคะ”
“ในฐานะผู้บริหาร ผมขอย้ำว่าต้องการพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของโครงการกับคุณเป็นการส่วนตัวกับคุณ” ปุญณภพตอบ พร้อมกับยกยิ้มมุมปาก
“และผมคิดว่าเราควรจะคุยกันในบรรยากาศที่เป็นกันเองมากกว่านี้” แววตาของซีอีโอหนุ่มเปล่งประกายความเร่าร้อน ราวกับกำลังมองเห็นเธอเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้า
“แล้วทำไมต้องเป็นบรรยากาศที่เป็นกันเองด้วยล่ะคะ?” มธุสรถามเสียงสั่น เธอพยายามถอยหลังคว้าลูกบิดประตู แต่ควานหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนหญิงสาวตกใจเมื่อแผ่นหลังของตัวเองแนบชิดกับผนังห้องอันเย็นเฉียบ
“เพราะผมอยากให้เราทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นครับ” ปุญณภพตอบ พร้อมกับเอื้อมมือมาลูบไล้แก้มเนียนของเธอเบาๆ หญิงสาวเบือนหน้าหนีด้วยความตกใจ
“และผมคิดว่าการที่ไปทานมื้อเย็นด้วยกันจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของเรา” ในขณะที่พูดปุณณภพไม่ละสายตาจากเธอ เขายังคงจ้องมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ราวกับต้องการจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว มธุสรพยายามหลบสายตา แต่ก็ทำไม่ได้ เธอรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้จมดิ่งลงไปในวังวนแห่งความปรารถนาของเขา
มธุสรปัดมือของเขาออกอย่างรวดเร็ว เมื่อหญิงสาวได้สติกลับคืนมา
“ฉันไม่ไป!” หญิงสาวพยายามรักษาน้ำเสียงให้มั่นคง แต่หัวใจกลับเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา เธอสัมผัสได้ถึงความปรารถนาที่แผดเผาอยู่ในแววตาของเขา มันทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
“จะรีบไปไหนล่ะครับ คุณน้ำหวาน” ปุณณภพถาม พร้อมกับขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ก่อนที่มือของเขาจะยกขึ้นมาแตะผนังเอาไว้ เพื่อกันไม่ให้เธอเลื่อนตัวออกไปได้ง่ายๆ มธุสรชะงักฝีเท้า และหันกลับมาเผชิญหน้ากับปุณณภพ ดวงตาคู่สวยจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ
“หรือว่าคุณกลัวผม?”
“ฉันไม่ได้กลัวคุณ!” มธุสรตอบเสียงแข็ง แต่แววตาของเธอกลับทรยศความรู้สึก
“แน่ใจเหรอครับ?” ปุญณภพกระซิบข้างหูเธอ
“ไม่กลัวผมแล้วคุณจะรีบไปไหนล่ะครับ....คุณน้ำหวาน!!!” ปุณณภพเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ เขาเรียกชื่อเล่นของเธอได้อย่างสนิทสนม ในตอนนี้ทั้งห้องประชุมเหลือเพียงเขาและเธอ จนได้ยินเสียงหัวใจของหญิงสาวที่เต้นแรง
“ขอย้ำอีกทีให้เข้าใจ..ฉัน.ไม่.ได้.กลัว.คุณ.!!” มธุสรตอบเสียงดังฟังชัด
“แล้วอีกอย่างนะ...ฉันก็ไม่อยากเสียเวลากับคนอย่างคุณด้วย”
“เสียเวลา?” ปุณณภพหัวเราะเบาๆ
“ผมว่าคุณกำลังพลาดโอกาสอย่างแรงเลยนะ...คุณน้ำหวาน”
“ฉันไม่เห็นว่าการรู้จักคุณจะเป็นโอกาสที่ดีตรงไหน” มธุสรตอบ
“คุณไม่รู้เหรอครับว่าผมอาจจะทำให้คุณประทับใจก็ได้” มธุสรเบ้ปาก
“ฉันไม่คิดว่าคุณจะทำอะไรให้ฉันประทับใจได้หรอก...และอีกอย่างนะ...ฉันมีแฟนแล้ว”
คำพูดของมธุสรทำให้ปุณณภพชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะมีแฟนแล้ว
“คุณมีแฟนแล้วเหรอครับ” เขาถามเสียงแผ่ว
“ใช่ค่ะ” มธุสรตอบอย่างมั่นใจ
“และเขาก็เป็นคนดีมากด้วย”
เขารู้สึกผิดหวังและเสียหน้า แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก คิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างท้าทาย
“ผมไม่เชื่อหรอก ว่าคุณจะมีแฟน” ปุณณภพกล่าว
“ฉันไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกคุณ” มธุสรตอบเสียงเรียบ
“ผมไม่เห็นว่าจะมีผู้ชายคนไหนที่คู่ควรกับคุณ..นอกเสียจาก...” ปุณณภพตอบก่อนจะยกนิ้วโป้งชี้ไปที่หน้าอกของตัวเองย้ำ ๆ
มธุสรหัวเราะเบาๆ
“คุณนี่มัน...โคตรหลงตัวเองเลย” เธอส่ายหน้า
“คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าใครคู่ควรกับฉัน...หรือไม่คู่ควรกับฉัน”
“ผมมีสิทธิ์ เพราะผมกำลังจะจีบคุณ” ปุณณภพตอบอย่างมั่นใจ
มธุสรตกใจกับคำพูดของเขา เธอคิดอะไรไม่ออกกับคำพูดที่มั่นหน้าของเขา
“นี่คุณเป็นบ้าไปแล้วรึไง!!” มธุสรขมวดคิ้วเป็นปมกำความบ้าบิ่นของเขา
“ผมบ้าได้มากกว่าที่คุณคิดซะอีก” ปุณณภพยิ้ม
“และผมก็จะจีบคุณ จนกว่าคุณจะยอมเป็นแฟนกับผม” มธุสรยิ้มเยาะ
“คุณไม่มีทางทำสำเร็จหรอก เพราะฉัน...จะไม่มีวันยอมเป็นแฟนกับคุณ” เธอพูดออกมาด้วยความสะใจ
“งั้นเรามาดูกันครับ...ว่าผมจะทำให้คุณเปลี่ยนใจมารักผมได้มั้ย” ปุณณภพท้าทาย
มธุสรไม่ได้ตอบอะไรเพราะเธอขี้เกียจจะเถียงด้วย หญิงสาวตัดสินใจเดินออกจากห้องประชุมไปทันที ปุณณภพมองตามเธอไปด้วยความรู้สึกเสียดาย ก่อนจะรีบวิ่งตามไปจนทันและคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ ปุณณภพตัดสินใจดึงร่างเธอเข้ามากอด มธุสรตกใจกับการกระทำของเขา เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของเขา แต่ปุณณภพกอดเธอแน่นยิ่งขึ้น
“ปล่อยฉัน!” มธุสรพูดเสียงดัง
“ก็หยุดดิ้นก่อนสิ แล้วผมจะปล่อย” ปุณณภพกระซิบข้างหูเธอ หญิงสาวหยุดดิ้นทันทีเพราะกลัวใครมาเห็น ซีอีโอหนุ่มจึงกระซิบข้างหูเธออีกครั้ง
“คุณต้องไปทานมื้อเย็นกับผม ไม่งั้นผมจะไปบอกความจริงกับพ่อของคุณ ว่าเมื่อวานคุณขับรถเร็วจนเกือบชนคนตาย”
“อย่ามาใช้วิธีนี้กับฉันนะ!” มธุสรมองตาขวางทันที
“หึ!!..เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิด คุณไม่ได้บอกเรื่องของเรากับคุณพ่อของคุณจริง ๆ ด้วย”
สิ้นเสียงปุณณภพก้มลงจูบริมฝีปากบางของเธอ มธุสรพยายามผลักเขาออก แต่ปุณณภพจูบเธอหนักขึ้น มธุสรเริ่มรู้สึกอ่อนแรง เธอยอมปล่อยให้ปุณณภพจูบเธอ
เมื่อปุณณภพผละริมฝีปากออก มธุสรก็ผลักเขาออกห่างจากเธอ หญิงสาวจ้องมองเขาด้วยความโกรธ
“อย่าดื้อกับผม เพราะผมไม่ชอบผู้หญิงดื้อ..รู้มั้ย!” ปุณณภพพูดจบก็ยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ไอ้คนฉวยโอกาส ไอ้คนสารเลว” มธุสรด่าอย่างสาดเสียเทเสีย
มธุสรโกรธเลือดขึ้นหน้า เธอเดินเข้าห้องน้ำไปเช็ดคราบลิปสติกที่เลอะริมฝีปากของตัวเอง เธอไม่เคยเจอผู้ชายที่น่ากลัวเท่าเขามาก่อน
เธอยืนเช็ดคราบลิปสติกที่เลอะออกจนหมดแล้วทาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะมองตัวเองในกระจก เธอเห็นใบหน้าของตัวเองที่แดงก่ำ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและความหวาดกลัวผสมปนเป เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ที่ถูกเขาย่ำยี
