บทที่ 4 บอกไม่ฟัง
~เฮ่อ~
~เฮ่อ~
~เฮ่อ~
เสียงถอนหายใจดังขึ้นแล้วและก็ดังต่อมาอีกในเวลาต่อมา เหมือนกับว่าคนที่ทำให้เกิดเสียงนี้มีอะไรที่คิดไม่ตกอยู่ในหัวสมองอย่างงั้น ถึงแม้ว่าจะพลิกตัวนอนตะแคงไปด้านไหนก็ตาม ความคิดนั้นมันก็ยังอยู่ไม่จากไปง่ายๆ เสียแล้ว
แต่การถอนหายใจนั้นอาจมีเรื่องหลายอย่างที่ไม่สามารถเดาออกได้ทุกเรื่องราวแต่ที่มักจะเห็นได้นั้นก็คือการถอนหายใจเพื่อแสดงความกังวนการคิดหนักการคิดไม่ตกกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งการกลุ้มใจเป็นต้น แต่สำหรับฉันนั้นมันเหมือนกับการเอาเรื่องที่ได้เจอวันนี้มาคิดไปต่างๆ นานา จนกระทั่งรวมกันไปหมดแล้วแหละ
ผู้ชายที่ทุกคนต่างรู้จักนามว่า “รูธ” ภาพของเขายังอยู่ในสมองของฉันนะจนบัดนี้ ผู้ชายที่แสดงออกไปตรงๆ เลยว่าเป็นคนก้าวร้าวดุดัน อีกทั้งยังหัวรั้นไม่ยอมใครๆ แรงมาก็แรงกลับตอบไปเป็นร้อยเท่าจนกลุ่มวัยรุ่นมักใช้ทำว่าสารเลวแทนกลุ่มของพวกเขาทั้งห้าคน
ผู้ชายคนนั้นมันใช่คนเดียวกับที่ฉันเคย “รัก” เมื่อหกปีที่แล้วหรือเปล่าแต่ทว่าทำไมถึงได้แตกต่างไปจากเดิมนักและอีกประการที่ต่างกันก็คือชื่อ “ริว”
ใช่ทุกคนคิดไม่ผิดหรอกถึงฉันไม่เคยมีแฟนเลยสักครั้งแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยรักใครนิเมื่อตอนมอสี่ฉันได้แอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อว่าริว เขาเป็นคนที่อบอุ่น ใจดีเป็นรุ่นพี่ที่คอยดูแลเอาใจใส่น้องๆ ในคณะแพทย์เป็นอย่างดีจนทำให้ผู้หญิงทั้งหลายต่างเทใจให้แม้จะอยู่ต่างคณะก็ตามหนึ่งในนั้นก็คือฉันด้วย แต่ทว่าอีกอาทิตย์หนึ่งก็เกิดข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเขาว่าได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้วด้วยเหตุใดก็ไม่มีใครทราบจากนั้นมาฉันก็สืบข่าวคราวไม่ได้อีกเลยจนมาถึงวันนี้ที่ได้เห็นเขาอีกครั้งในชื่อรูธ
ความรู้สึกที่โลดแล่นเข้ามาในจิตใจเมื่อตอนที่ได้เจอใบหน้าของเขาเป็นครั้งแรกมันตอบได้เลยว่าเขาต้องใช่พี่ริวแน่ๆ ใจที่สั่นระรัวเต้นไม่เป็นจังหวะมันบอกแบบนั้นจริงๆ แต่แล้วความจริงมันไม่ใช่เพราะเขาชื่อรูธ หนึ่งในกลุ่ม MISCREANT
“นายเป็นใครกันแน่ใช่คนเดียวกันหรือเปล่าทำไมเหมือนกันนักแต่ไม่ว่าจะเป็นใครฉันต้องเอามาเป็นแฟนให้ได้..ไม่สน!”
ความแน่วแน่ที่ตัวเองตั้งขึ้นในตอนนี้มันสูงลิวจนกลบความกลัวไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าจะเรียนอยู่ก็ตามแต่ความรักมันห้ามกันได้ที่ไหน จริงไหมล่ะไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหนก็มีความรักได้ทั้งนั้นแหละถึงมันจะน่ากลัวสำหรับใครๆ แต่สำหรับฉันได้รัก ยังดีกว่าไม่เคยรักก็แล้วกัน
ทุกอย่างที่ก้าวเข้ามาให้เจอในชีวิตล้วนเป็นประสบการณ์ที่จะสั่งสอนให้คนเราสามารถเลือกทางให้ตัวเองในด้านที่ดีที่สุด ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม
ถึงสมองจะคิดแบบนี้แล้วทำไมถึงได้สวนทางกับใจละ ภายในใจของฉันมีเสียงของระดับหัวใจที่เต้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะเสียใจหรือดีใจกันแน่
“แล้วเราจะได้เจอกัน รูธ....”
Rr….
ความคิดของฉันดับลงไปในพริบตาเมื่อโดนเสียงสายเข้าโทรศัพท์ปลุกแบบเต็มๆ เที่ยงคืนแบบนี้ใครกันที่มันโทรมาไม่รู้เวลาเอาเสียเลยถึงแม้แต่บ่นด้วยความหงุดหงิดแต่มือก็ดันไปเลื่อนสัมผัสเพื่อรับสายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่รับคงได้บ้านแตกคราวนี้
[รับช้าไปไหนมา?]
เสียงทุ้มปลายสายเอ่ยถามขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าฉันกดรับน้ำเสียงที่ค่อนข้างหงุดหงิดผสมกับอารมณ์ที่เริ่มคลุกกรุ่นพร้อมเกิดดารปะทุได้ทุกเมื่อ
“ก็นอนสิเวลานี้ถามทำไมคะ?”
ฉันตอบไปด้วยความสัตย์จริงถึงแม้จะยังไม่หลับก็เถอะแต่ก็ถือว่าตอนนี้อยู่บนเตียงแล้วมันก็คงต้องพูดว่านอนอยู่แล้ว
[กวนเพื่อ?]
“เอ้า ก็มันจริงๆ นิ นี่เมืองไทยนะคะ ไม่ใช่ LA?”
[…]
เสียงของคนปลายสายเงียบไปสักพักหนึ่งเขาคงอยู่ในที่ที่มีเสียงเพลงดังเกินจนทำให้ไม่ได้ยินเสียงของฉันเป็นแน่และบอกได้เลยว่าคนปลายสายยังไม่จบการสนทนากับเพียงแค่นี้หรอก เงียบแบบนี้แสดงว่าให้ถือสายรอถึงเป็นการโทรข้ามทวีปก็ไม่เสียดายเงินที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์แค่นี้ขนหน้าแข้งเฮียยังไม่ร่วงแน่ๆ ไม่มีวันเป็นอย่างยิ่ง
[เฮียถามวันนี้ไปไหนมาตอบให้ตรงด้วยเรเนส]
